มติชนออนไลน์
16 กรกฎาคม 2556
ไพร่ข้างนอกไม่เกี่ยว และหากเข้ามาเกี่ยว อำมาตย์กลุ่มต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่มีวิธีจัดการอย่างไร นอกจากใช้ความรุนแรงอย่างป่าเถื่อนเท่านั้น อย่างที่ได้ใช้มาแล้วใน 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภามหาโหด 35, และพฤษภาอำมหิต 53 ในทรรศนะของอำมาตย์ ชีวิตและสวัสดิภาพของไพร่ไม่มีความหมายอย่างไร ไพร่ตายพันเหมือนแมลงวันตายตัว (นึง)
นี่คือสารที่ผมอ่านได้จาก เทปลับ ซึ่งอื้อฉาวอยู่เวลานี้ (และพูดกันตรงไปตรงมาเสียเลยว่า เทปนี้เป็นของจริง ไม่มีใครหลอกลวงทำขึ้น และไม่ได้ถูกตัดต่อ) และที่น่าสังเกตมากก็คือ ศัตรูของทักษิณและรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือ ปชป. ไม่ได้หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาวิจารณ์เลย ได้แต่ยุว่ากระทบกระเทือนต่ออำมาตย์ขุนทหาร แสดงว่าการรอมชอม (หรือที่เรียกกันว่าเกี้ยเซี้ย) ยังไม่ครอบคลุมอำมาตย์ทุกกลุ่ม เจาะเอาแต่กลุ่มอำนาจระดับบนเท่านั้น อำมาตย์กลุ่มตกขบวนและบริวารจึงเดือดร้อนเป็นที่ยิ่ง
นับตั้งแต่เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขึ้นรับตำแหน่งในระยะแรกแล้ว ความตึงเครียดระหว่างกลุ่มอำมาตย์มีสูงขึ้น เพราะขุนทหารไม่ไว้วางใจ (แสดงว่าในกองทัพเองต้องมีบริวารฝ่ายอำมาตย์อีกฝ่ายหนึ่ง หรือคนที่มีแนวโน้มจะถูกดึงไปอยู่พอสมควร) จะคุมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อย่างไร ผู้ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองสูงสุดฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งในเทปลับที่ถอดออกมาเรียกว่า xxx จึงเรียก ผบ.ทัพบก และรัฐมนตรีกลาโหมขณะนั้นมาพบ และบอกให้ทำงานร่วมกัน ผมเดาว่า xxx คงมีวิธีจะคุมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เนียนกว่าการให้กองทัพแข็งข้อต่อรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งมาอย่างท่วมท้น
ต้องเข้าใจด้วยว่า คุณทักษิณถูกรัฐประหาร (ซึ่งก็อยู่ในกติกาการแย่งอำนาจกันของอำมาตย์ เมื่อพบว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ รอมชอม ระหว่างอำมาตย์ด้วยกันอย่างไม่เพียงพอ) ในสภาพที่สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว การต่อสู้แย่งอำนาจจึงไม่จบลง ที่เมื่อฝ่ายเสียงข้างมากของอำมาตย์ตกลงพร้อมใจกันที่จะถอดคุณทักษิณจากตำแหน่ง เนื่องจากมีไพร่อีกกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาหนุนฝ่ายคุณทักษิณ หนุนมากกว่าที่ไพร่เคยหนุนมาแล้ว จนขนาดจัดตั้งขบวนการของตนเองออกมาเคลื่อนไหวได้อย่างเปิดเผย
และนั่นอาจทำให้คุณทักษิณวางแผนนอกเกมอำมาตย์ในระยะแรก นั่นคือ หวังจะใช้กำลังของไพร่ในการคืนอำนาจ (หรืออย่างน้อยก็คืนชื่อเสียงเกียรติยศ และทรัพย์สิน) ช่วงนั้นจะมีการโฟนอินในการชุมนุมของเสื้อแดงเกือบทุกครั้ง และในช่วงการเผชิญหน้าระหว่างไพร่และอำมาตย์ ทั้งในปี 52 และ 53 กำปั้นของคุณทักษิณจึงชูขึ้น เพื่อระดมกำลังไพร่เต็มที่ หวังจะบีบให้รัฐบาลอำมาตย์ยอมลาออกแต่โดยดี
ผมไม่ได้หมายความว่า คุณทักษิณเป็นต้นคิดหรือกำกับทุกอย่าง ผมคิดว่าคุณทักษิณกระโดดลงไปร่วม และหวังจะฉวยกำไรให้ได้มากสุดจากการเคลื่อนไหวของไพร่ ถ้าไพร่อยากเล่นแรง คุณทักษิณก็พร้อมจะเล่นแรงด้วย
เกมผสมโรงกับไพร่ไม่ให้ผลอะไรแก่คุณทักษิณ นอกจากชีวิตและเลือดเนื้อของไพร่จำนวนมาก (ซึ่งในสายตาของอำมาตย์ก็ไม่มีค่าอะไรนัก) ร้ายยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้คุณทักษิณตกที่นั่งลำบากมากขึ้น เพราะจะหันกลับมารอมชอบกับอำมาตย์ฝ่ายอื่นได้ยากขึ้น เนื่องจากมีชีวิตและเลือดเนื้อของไพร่ที่ต้องแบกเข้าไปสู่กระบวนการรอมชอมด้วย จะประกาศทิ้งไพร่ในตอนนี้ คุณทักษิณก็จะไม่มีอำนาจต่อรองอะไรเหลืออยู่อีกเลย นอกจากนี้คุณทักษิณจะสื่อการเปลี่ยนนโยบายหันมาสู่การรอมชอมในหมู่อำมาตย์อย่างไร จึงจะเป็นที่น่าเชื่อถือแก่อำมาตย์กลุ่มอื่น
โอกาสนั้นมาถึงเมื่อ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกคะแนนเสียงให้แก่พรรคเพื่อไทย ไปอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งใหญ่ คุณยิ่งลักษณ์ขึ้นมาเป็นนายกฯ แสดงพลังอันแข็งแกร่งของเหล่าไพร่ อันนับเป็นสัญญาณอันตรายแก่การเมืองของอำมาตย์ และด้วยเหตุดังนั้น xxx จึงส่งสัญญาณรอมชอมให้ประจักษ์มาแต่ต้น
แต่ดังที่กล่าวแล้วว่า อำมาตย์นั้นประกอบด้วยหลายกลุ่มมาก ไม่มีอำมาตย์ฝ่ายใดจะสามารถกำกับนโยบายของอำมาตย์ทุกฝ่ายได้เด็ดขาด ดังนั้น จึงเป็นภาระของคุณทักษิณเอง ที่จะต้องจัดกระบวนการรอมชอมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่มีอำนาจเชิงคุมมติของอำมาตย์ได้ เช่นกองทัพ
เนื้อความส่วนที่สำคัญในเทปลับก็เกี่ยวกับกระบวนการรอมชอมกับกองทัพ
สิ่งที่คุณทักษิณต้องการในตอนนี้คือ หูของขุนทหารที่พร้อมจะรับฟัง และเท่าที่ปรากฏในเทปลับ ดูเหมือนคุณทักษิณได้หรือเกือบได้หูอย่างนั้นแล้ว เพราะรัฐบาลสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้แก่ขุนทหารเหล่านั้นหนึ่ง (เช่นสัญญาว่าจะไม่โยกย้าย) และถึงอย่างไรใน พ.ศ.2557 ขุนทหารเหล่านั้นก็จะเกษียณอายุราชการ ความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะสามารถแต่งตั้งขุนทหารใหม่จากหูที่พร้อมรับฟังก็มีมากขึ้น (ถึงขนาดที่คิดว่าจะเอาใครก็ได้ แต่นั่นอาจพูดเกินจริง ความหวังฝากไว้กับหูที่พร้อมจะรับฟังมากกว่าตั้งสมุนของตนเอง จึงได้พูดถึงกรณีแม่ทัพเรือ ตั้งความหวังไว้กับนายทหารที่เป็นคนมีเหตุผล หากได้โอกาสพูดกันก็จะฟังเหตุผล) นอกจากนี้ จะใช้เส้นสายต่างๆ ให้เป็นประโยชน์ เพื่อดึงหูของทหารบางคนที่กลายเป็นองคมนตรีไปแล้วให้รับฟังด้วย
เช่นเดียวกับที่คุณทักษิณทำมาในอดีต รางวัลตอบแทนแก่ขุนทหารคือ ตำแหน่งทางการเมืองเมื่อปลดเกษียณแล้ว เพราะในทรรศนะของคุณทักษิณและเหล่าอำมาตย์ มนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์เชิงวัตถุเท่านั้น
น่าสังเกตด้วยว่า ในการสนทนาไม่มีใครคิดถึงการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ซึ่งรัฐบาลรัฐประหารทำไว้ แต่ในท่ามกลางการปฏิเสธหลักการ Civilian Supremacy เช่นนี้ คุณทักษิณและพรรคพวกจะหาทางรอมชอมกับอำมาตย์กลุ่มอื่นอย่างไร นี่คือวิธีมองแบบ real politik ซึ่งเหล่าอำมาตย์ชำนาญ ถึงอย่างไร Civilian Supremacy ก็ไม่มีในความเป็นจริงอยู่แล้ว พ.ร.บ.กลาโหมเพียงแต่ทำให้ความเป็นจริงกลายเป็นกฎหมายเท่านั้น คุณทักษิณกับคุณสุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ได้คิดอะไรต่างกันเลย
ส่วนวิธีการนิรโทษกรรมนั้น คงจะออกแบบสุดซอย ตามที่คุณเฉลิม อยู่บำรุง เคยให้สัมภาษณ์ว่า ทางขุนทหารรู้สึกอึดอัดกับการดำเนินคดี ซึ่งได้เริ่มไปแล้ว จึงไม่มีทางนิรโทษกรรมด้วยวิธีอื่นนอกจากเหมาเข่ง ฉะนั้น จึงต้องนำร่างเข้าสู่การพิจารณาของสภากลาโหม เพื่อให้กองทัพทั้งหลายเห็นชอบก่อน สภาไม่เกี่ยวและไม่เกี่ยวขึ้นไปอีก เพราะเมื่อขุนทหารเห็นชอบแล้ว ก็ออกเป็น พ.ร.ก.เลย อย่างไรเสีย พรรครัฐบาลและร่วมรัฐบาลก็ต้องผ่าน ไพร่เสื้อแดงไม่ต้องมีปากเสียงอะไรทั้งสิ้น
ปัญหาที่จะดำเนินการอย่างนี้มีอยู่นิดเดียว คืออำมาตย์กลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะกองทัพ จะเชื่อได้อย่างไรว่า คุณทักษิณกลับมาแล้วจะไม่ แก้แค้น ต้องมีอะไรที่ทำความมั่นใจให้ขุนทหารก่อน คุณทักษิณเสนอให้เอาตัวไปหนีบไว้ใต้เงาสถาบันพระมหากษัตริย์ คือเป็นที่ปรึกษาของสำนักงานทรัพย์สินฯ เพื่อทำให้ตัวไม่อาจเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ได้ (แต่ที่ปรึกษาของสำนักงานแห่งนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็เคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณทักษิณจึงคิดว่าเป็นหลักประกันได้ก็ไม่ทราบ)
อำมาตย์ทักษิณก็ไม่ต่างจากอำมาตย์กลุ่มอื่นๆ คือไม่เชื่อว่าคนเสื้อแดงเป็นประจักษ์พยานของความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดในสังคมไทยไปแล้ว เขาคือคนหน้าใหม่ที่ไม่อาจถูกกีดกันออกไปจากการต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ (ซึ่งเรียกว่าการเมือง) ได้ ไม่ว่าจะกีดกันโดยอำมาตย์ฝ่ายใด รวมทั้งอำมาตย์ทักษิณด้วย อำมาตย์ทุกฝ่ายยังคิดว่า จะสามารถรักษาการเมืองไทยไว้เป็นการเมืองของอำมาตย์ได้
ชีวิตและเลือดเนื้อของไพร่ที่สูญเสียไปในเดือนเมษา-พฤษภา 53 มีค่าแต่เพียงทำให้คุณทักษิณสามารถรอมชอมกับอำมาตย์กลุ่มอื่นได้เท่านั้น
แล้ววันหนึ่งคุณทักษิณก็คงกลับบ้าน ในขณะที่ไพร่เสื้อแดงยังไม่มีโอกาสกลับบ้านอย่างแท้จริงได้อีกนาน