ทีมข่าว นปช.
30 กรกฎาคม 2556
ถอดคำพูดในรายการเหลียวหลังแลไปข้างหน้าเพื่อประชาธิปไตย
ประเด็น "ปัญหาความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับวรชัย"
ออกอากาศเมื่อวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 สถานีเอเชียอัพเดท
ผู้ดำเนินรายการ : วันนี้เราจะมาพูดคุยเจาะลึกโดยเฉพาะพ.ร.บ.ที่ถูกบรรจุไว้ในสภาขณะนี้ก็คือ
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับของคุณวรชัย เหมะ
ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย
ที่ถูกโจมตีจากฝ่ายค้านว่าจะมีการนิรโทษกรรมให้กับทหารด้วย และก็รวมไปถึงพ.ร.บ.ฉบับของญาติวีรชน
ปี 53 ทั้งสองฉบับ
อาจารย์จะชี้จุดดีและจุดเด่นของแต่ละฉบับว่าเป็นอย่างไรด้วยครับ
อ.ธิดา : ความจริงสัปดาห์ที่แล้วเราคุยไปรอบหนึ่งแล้วนะ แต่ดูแล้วเกมส์มันยังไม่จบก็ทำให้เราต้องกลับมาพูดกันซ้ำ
เราจะได้มาวิเคราะห์และให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น คือถ้าถามจริง ๆ ตัวอ.ธิดาคิดอย่างหนึ่งว่าในหมู่ของฝ่ายประชาธิปไตย ความพยายามที่เขา (ระบอบอำมาตย์) จะทำให้มีปัญหามันก็มีอย่างที่เราพูดเมื่อวานนี้ว่าบางทีเขาไม่สามารถเจาะให้เปลี่ยนได้หรอกแต่เจาะให้มันมีปัญหากัน
แต่ดังที่เราบอกแล้วว่าขณะนี้เอาทีละร่างก่อนก็ได้ เอาร่างของคุณวรชัยที่มีปัญหากันมากก็คือ มีการโจมตีซ้ำแล้วซ้ำอีก อาจารย์ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ก็คือมีการพูดว่าร่างของคุณวรชัย เหมะนั้นนิรโทษกรรมให้ทหาร
ทีนี้เรามาอ่านเนื้อหากันเลยและเปรียบเทียบว่าร่างแต่ละร่างนั้นแตกต่างกันอย่างไร
เอาร่างที่นิรโทษกรรมให้ทหารก่อนก็ได้
ซึ่งเขาจะเขียนชัดเจนเลยว่านิรโทษให้เจ้าหน้าที่รัฐ อย่างอาจารย์ดูนะฉบับของสนธิ บุณยรัตกลิน
อันนี้ก็ประเภทเหมาเข่ง
อาจารย์จะอ่านนะคะ พ.ร.บ.ปรองดอง มาตรา 1, มาตรา 2 เราไม่พูด (ข้ามไป)
มาตรา 3 เขาใช้คำว่า
ให้บรรดาการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมืองตั้งแต่วันที่
15 กันยายน 2548 จนถึง 10 พฤษภาคม 54
หากมีการกระทำใดที่เป็นความผิดกฎหมายให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดอีกต่อไป อันนี้พูดถึงการชุมนุมทางการเมืองนะโปรดสังเกต และให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและรับผิดโดยสิ้นเชิง มาตรา 3 เป็นมาตราเดียวที่เราดูว่าความหมายถึงผู้ชุมนุมแต่เขาใช้คำว่าเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองเหมือนกันนะ ถ้าคนมาตีความว่าการกระทำใด ๆ
พูดแบบนี้หมายถึงทหารก็ได้
แต่ให้ดูนะว่าในนี้เขาแบ่งเป็นวรรคหนึ่ง
การกระทำของบุคคลทั้งหลายที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามการชุมนุมการกล่าววาจา
อันนี้เรียกว่าคล้ายกันนะเกือบจะเรียกว่าลอกออกมาเลย
หรือโฆษณาวิธีการใดเพื่อเรียกร้องทำให้มีการต่อต้านรัฐ นี่เหมือนกับร่างวรชัยตรงนี้ก็มีส่วนหนึ่งที่เขียนแบบนี้
คือในมาตรา 3
เริ่มต้นนี่เขียนคล้ายกัน การป้องกันตน
การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ความจริงตัวนี้มันชัดเลยนะของร่างวรชัย
ที่อาจารย์พูดก็คือว่าถ้าเป็นร่างวรชัยก็มีการเขียนท่อนแรกวงเล็บหนึ่งคล้ายกันเลยกับฉบับของสนธิ บุณยรัตกลิน
แต่ในความหมายถึงผู้ชุมนุม
ของวรชัยจบแค่นี้ก็คือไปละเว้นการกระทำไม่รวมถึงการกระทำใด ๆ
ของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ
อาจารย์อ่านอีกทีก็ได้ว่ามาตรา 3
ในตอนแรกก็คือให้บรรดาการกระทำใด ๆ ของบุคคลนะ มีคนมาตีความว่าบุคคลหมายถึงเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
อาจารย์จะบอกให้ว่าอันนี้มันเหมือนวงเล็บหนึ่งของร่างอื่น ๆ
แล้วเดี๋ยวเขามีวงเล็บสองที่พูดถึงเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ร่างวรชัยไม่มีเพราะฉะนั้นคนที่วิพากษ์วิจารณ์คำพูดแล้วตีความอันเดียวอ่านให้หมดด้วย เหมือนตอนที่อาจารย์วิเคราะห์เรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ อาจารย์ก็ต้องไปเปิด คือเราไม่เอาคำพูดเขาหรอก ไปเปิดคำวินิจฉัยส่วนตนทุกคน แล้วคำวินิจฉัยส่วนรวม อ่านแล้วคิด แล้วทำข้อสรุปเป็นย่อ ๆ
เลยว่าส่วนตนแต่ละคนออกมาอย่างไร
เราถึงตอบได้ว่าที่ให้ทำประชามติก่อนมีคนเดียว แล้วมันออกมาเป็นคำวินิจฉัยส่วนกลางได้อย่างไร
นี่ยกตัวอย่าง
อันนี้ก็เหมือนกันคุณต้องมาดูนะว่าของวรชัยเขาก็ใช้คำว่าบุคคลเหมือนกันนะ
บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงออกทางการเมือง
หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง
แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง
โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด
เพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ
นี่หมายถึงว่าการกระทำของบุคคล
แล้วยาวต่อมาว่าหรือแม้กระทั่งโฆษณาเรียกร้องให้มีการต่อต้านรัฐ ถามว่าเจ้าหน้าที่จะไปตีความได้ไหม กระทั่งว่าคุณไม่รู้นะว่าเขามีวงเล็บสองหรือไม่มี คุณต้องอ่านให้ยาว คุณอย่าไปตัดตอน บุคคลต่าง ๆ ทั้งหมดที่ว่านี่จะทั้งแสดงออกแบบไหน
กล่าววาจาโฆษณาหรือมีการต่อต้านรัฐ ไอ้นี่มันแปลว่าเป็นประชาชนผู้ชุมนุมหรือผู้ไม่มาชุมนุมที่ต่อต้านรัฐ แล้วจะไปแปลว่าเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร
การป้องกันตน
การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐยิ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐใหญ่เลย
หรือการชุมนุม หรือการประท้วง หรือการแสดงออกด้วยวิธีการใด ๆ
เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่มาชุมนุมประท้วงหรอก อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย
อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ของบุคคลอื่นนะ อันนี้หมายความว่าไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือรัฐ
ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง
ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2554
ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้ผู้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง หนึ่งกว้างแล้ว ไม่ต้องแยกลหุโทษ ไม่ต้องแยกว่าโทษเบาโทษหนัก ไม่ต้องแยกว่ามีอาวุธ ไม่มีอาวุธ
เอาว่าที่คนทำผิดทั้งหมดถือว่าละเว้นทั้งหมด ซึ่งเดี๋ยวเราจะอ่านร่างอีกร่างหนึ่งในเชิงเปรียบเทียบ
แต่ตอนนี้เราขอเปรียบเทียบประเด็นนี้ อันนี้ในร่างวรชัยมันตามว่า
การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใด ๆ
ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ
หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว
ถามว่าเจ้าหน้าที่รัฐเขาจะมาสั่งให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองไหม
มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นในมาตรา 3
ทั้งหมดนี้มันเป็นการพูดถึงฝ่ายประชาชนที่ต่อต้านรัฐแล้วทำผิดกฎหมาย
ไม่ได้บอกว่าทำผิดมาก ทำผิดน้อย ทำผิดต่อเอกชน ทำผิดต่อรัฐ ทั้งหมดเลย
ทีนี้มาดูถ้าร่างของสนธิ บุณยรัตกลินเขาจะมีวงเล็บสอง
การกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลใด ๆ
อันเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันระงับหรือปราบปราม ในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง นี่ไง
อันนี้เขานิรโทษเจ้าหน้าที่รัฐ
ขอโทษ
ในเมื่อไม่มีในร่างวรชัย
แล้วจะบอกว่านิรโทษให้ทหารเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างไร?
การที่เราบอกว่าไม่เขียนแปลว่าเรามีนิรโทษ
ก็มีคำอธิบายว่าด้านหนึ่งเขายังไม่มีโทษออกมา
ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาได้รับการคุ้มครองด้วยพระราชกำหนดฉุกเฉินอยู่แล้ว แต่ว่าฉบับของสนธิเขียนชัดเจนว่าเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายที่ยังข้องใจโปรดรู้เอาไว้ด้วยว่าการเขียนกฎหมายเขาไม่ได้มาเขียนให้กำกวมอย่างนี้หรอก
แล้วไม่ต้องเป็นศรีธนญชัยเอาอย่างตุลาการบางกลุ่ม (ไม่อยากเอ่ยชื่อ)
เช่นหรือ/และ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้
ก็ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเราก็เขียนไปซื่อ ๆ เลยว่านิรโทษให้เจ้าหน้าที่รัฐ บางคนบอกแล้วทำไมไม่เขียน ไม่เขียนแปลว่านิรโทษให้ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณต้องเขียนหมดซิว่า ผู้สื่อข่าว
ช่างภาพ พยาบาล หมอ พ่อค้า แม่ค้า ต้องเขียนให้หมด
เพราะว่ามนุษย์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในความขัดแย้งและการปราบปรามนั้นมันมีคนตั้งหลายส่วนนะ คุณต้องลงรายละเอียดหมด
เพราะฉะนั้นเขาจะเลือกพูดว่าเขานิรโทษให้ใคร
นี่ขนาดเหมาเข่งนะ
เขายังมีวงเล็บหนึ่งของประชาชน วงเล็บสองของเจ้าหน้าที่รัฐ นี่คือตัวอย่าง
ต่อไปเป็นฉบับของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
เขาบอกว่ากำหนดให้การกระทำของบุคคลที่เป็นตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้กระทำหรือผู้ถูกใช้ให้กระทำการเกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง
การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าวรวมถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลใด
ๆ อันนี้เขาฉลาด เขารอบคอบนะ นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐไม่พอ เขายังรวมบุคคลใด ๆ
ที่มาทำหน้าที่ป้องกันระงับหรือปราบปราม
เหมือนกับฉบับที่แล้ว (สนธิ
บุณยรัตกลิน) เพราะอะไรรู้มั้ย
เพราะบางทีพี่แกไม่แต่งเครื่องแบบมาหรอก
สมมุติเขาเกิดมีภาพหรือจับได้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐแต่ไม่ได้แต่งตัว
(นอกเครื่องแบบ) หรือเขาใช้ส่วนอื่นที่มารับจ้างชั่วคราว
(เป็นมวลชน กอ.รมน. หรือเป็นทหารนอกเครื่องแบบหรืออะไรก็ตาม)
เข้ามาร่วมส่วนก็แปลว่าเขานิรโทษให้ด้วย
เหมือนกับฉบับแม่น้องเกดเขาก็เขียนมาชัดเจน
เขานิรโทษแต่อ้างว่านิรโทษให้เฉพาะพวกที่ทำเกินกว่าเหตุ อาจารย์ก็เลยรู้แล้วว่าที่เขาไปเดินสายแล้วตอนหลังเขารู้ว่าเขาพูดเป็นเจตนารมณ์ว่าเขาต้องการเอาผิดกับทหาร ขอโทษ
ที่เราพูดถึง พ.ร.บ. นะ คุณจะพูดถึงความคิดของเราไม่ได้
เหมือนกับว่าบางครั้งคุณวรชัยแกอาจจะพูดอะไรก็ได้ แต่ว่าเวลาเราพูดเราพูดถึง พ.ร.บ.
เราไม่ได้พูดถึงคุณวรชัย เช่นเดียวกันกับเวลาเราพูดถึง
พ.ร.บ.ของญาติวีรชนหรือของแม่น้องเกดเราก็ไม่ได้พูดถึงแม่น้องเกด
แม่น้องเกดอาจจะคิดอย่างหนึ่ง
แต่พ.ร.บ.ของคุณเขียนอย่างนี้
เราว่ากันไปตามเนื้อผ้า
เหมือนที่อาจารย์พวงทอง
ภวัครพันธุ์ พูดถึง
มีความเห็นต่อร่างฉบับของญาติวีรชน ความมุ่งหวังเจตนารมณ์นั้นเรื่องหนึ่ง แต่ตัวหนังสืออีกเรื่องหนึ่งนะ เหมือนคุณวรชัย บางทีแกก็ไปเซ็นรับร่างคุณเฉลิมด้วย อาจารย์ก็ยังบอกไปเลยว่าอย่างนี้มันไม่ได้
คุณมีร่างของคุณเองแล้วมันคนละหลักการ
ทีนี้มันมาจากพระราชกำหนด แต่คุณวรชัยไม่ได้จัดเจนในเรื่องกฎหมาย
คุณวรชัยก็เหมือนกับคนอื่นคือเอาเจตน์จำนงแบบเดียวกับที่แม่น้องเกดพูด
ว่าเขาปลดปล่อยคือนิรโทษให้ประชาชนทุกสีเสื้อยกเว้นแกนนำก็จำอันนี้อันเดียว แต่รายละเอียดเรื่องอื่นอาจจะเบลอ เพราะถูกพูดมากจนเบลอ
เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรสำคัญว่าเราต้องว่ากันตามเนื้อหา และนี่ย่อมไม่ใช่เป็นการขัดแย้ง เวลาที่ญาติวีรชนคุณแม่น้องเกดไปพูดอะไรต่าง ๆ
ระมัดระวังไว้ด้วยเพราะคำพูดที่ออกไปแล้วนั้นเรียกคืนไม่ได้ เราไม่ได้มีความคิดเห็นใด ๆ
เพราะว่าท่านมีสิทธิที่จะพูด
แต่ว่าความเป็นจริงนั้นเราต้องการจะบอกว่าเนื้อหานี้มันไม่ได้ตรงกับเจตนารมณ์ของท่านเลย
เพราะว่าท่านบอกว่าท่านไม่อยากนิรโทษให้ทหารแต่ระหว่างสองฉบับนี่ที่เรากำลังพูด ฉบับวรชัยไม่นิรโทษให้ทหาร ไม่พูดเลยซักคำ
ตรงกันข้ามฉบับของญาติวีรชนนั้นพูดถึงนิรโทษกรรมแม้มีข้อแม้ก็ตาม