งานชิ้นสุดท้าย "ฟาบิโอ โปเลงกี" ช่างภาพอิตาลี เหยื่อล้อมปราบคนเสื้อแดง

ข่าวสด 5 มิถุนายน 2556





รายงานพิเศษ
วิภาวี จุฬามณี / ธีรนัย จารุวัสตร์ รายงาน


ชื่อของ "ฟาบิโอ โปเลงกี" ช่างภาพชาวอิตาลี ที่ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณแยกสารสิน ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนต่างประเทศตั้งแต่วันแรกที่ถูกยิง 

และยิ่งมีคนพูดถึงมากขึ้น เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งผลไต่สวนชันสูตรพลิกศพว่า นายฟาบิโอถูกยิงมาจากด้านเจ้าพนักงาน 

ผลจากคำสั่งดังกล่าว "อลิซาเบตต้า โปเลงกี" น้องสาวนายฟาบิโอที่เทียวไปเทียวมาระหว่าง 2 ประเทศ ยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวต่อในทุกทางที่ทำได้ จนกว่าผู้ที่รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพี่ชายจะถูกลงโทษ

"ดิฉันไม่อยากให้มีใครตายเพิ่ม และไม่อยากให้ใครโดนติดคุกในคุกแย่ๆ ของเมืองไทย แต่การลงโทษในที่นี้หมายความว่า ให้พ้นจากตำแหน่งไป เพื่อไม่ให้เกิดการฆ่าประชาชนอีก" อลิซาเบตต้าเปิดใจหลังฟังคำสั่งศาล

แม้การเสียชีวิตของพี่ชายจะผ่านไปแล้ว 3 ปี แต่ครอบครัวโปเลงกีก็ยังทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ อลิซาเบตต้าเล่าว่า ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับครอบครัวของเธอ แม่และพี่สาวไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดต่างๆ เพราะไม่ได้ติดตามคดีอย่างละเอียดตั้งแต่แรก จึงมีความสับสนอยู่มาก 

อลิซาเบตต้ายืนยันว่าจะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตได้ พี่ชายเคยพูดว่า ทุกๆ วันเป็นของขวัญสำหรับเรา จงมีความสุข และใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ตนก็พยายามทำให้ดีที่สุดเช่นกัน

นอกเหนือจากการทวงความยุติธรรมด้านคดีความ สิ่งดีที่สุดที่อลิซาเบตต้าทำให้พี่ชายได้ในขณะนี้ คือนำภาพถ่ายที่ฟาบิโอบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ของเขา เป็นภาพตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงช่วงกลางเดือนมี.ค.2553 กระทั่งรูปสุดท้ายที่ถูกเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีอยู่กว่า 500 รูป มาจัดทำเป็นหนังสือ เพื่อระลึกถึงพี่ชาย และการเดินทางครั้งสุดท้ายของเขา 


รายได้จากการจำหน่ายหนังสือ จะนำไปสมทบทุนช่วยเหลือโรงเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

1.เสธ.แดงในมุมกล้องฟาบิโอ

2.ภาพที่อลิซาเบตต้าชอบที่สุด

3.ภาพผู้ชายถูกยิงที่หลัง

4.ภาพ City Levels

5.ภาพสุดท้ายที่พบในคอมพิวเตอร์ของฟาบิโอ

พร้อมกันนี้ได้คัดเลือกภาพถ่ายชุดสุดท้ายที่น่าสนใจ 35 ภาพ มาจัดแสดงนิทรรศการ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย อาคารมณียาเซ็นเตอร์ ถนนเพลินจิต จัดแสดงไปจนถึงวันที่ 10 มิ.ย.นี้

"ฟาบิโอถ่ายภาพทุกอย่างตั้งแต่การจราจร ธรรมชาติ ทหาร ไปจนถึงโสเภณี เรียกว่าทุกอย่างที่เล่าเรื่องได้ก็จะถ่ายหมด และไม่ใช่ช่างภาพสงคราม แต่เป็นช่างภาพที่เล่าเรื่องของมนุษย์" อลิซาเบตต้าพูดถึงผลงานของพี่ชายในวันเปิดนิทรรศการ

หากได้ชมผลงานทั้ง 35 ภาพ จะสัมผัสได้อย่างที่อลิซาเบตต้าว่าไว้ เพราะภาพถ่ายของฟาบิโอส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นความรุน แรงของเหตุการณ์ หรือบีบคั้นให้เกิดความรู้สึกเกลียดชัง หรือเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

ตรงกันข้ามกลับเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าฝ่ายใดก็มีความรู้สึกทุกข์ สุข รู้จักเหน็ดเหนื่อย เบิกบาน และมีความเป็นมนุษย์ที่รักชีวิตเหมือนๆ กัน

ที่น่าสนใจ อาทิ ภาพคนเสื้อแดงยืนอยู่บนแนวกีดขวางใกล้สวนลุมพินี ในมือถือ "ปลัดขิก" ที่เขียนว่า "เอ็ม 100" และ "จีที 199" ซึ่งล้อเลียนข้อกล่าวหาจากรัฐบาลว่า คนเสื้อแดงมีเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เป็นอาวุธ และล้อกรณีเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด "จีที 200" 

ส่วนข้างหลังผู้ประท้วงเป็นหุ่นไล่กาที่เอาหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในขณะนั้น มาติดไว้

อลิซาเบตต้าอธิบายว่า ฟาบิโอต้องการนำเสนอภาพคนเสื้อแดงในมุมมองที่ต่างออกไปจากสื่อกระแสหลัก ที่มักวาดภาพว่าคนเสื้อแดงหยาบคาย ดุร้าย ชอบใช้ความรุนแรง ขณะที่ฟาบิโอต้องการสื่อถึงอารมณ์ขันแม้ในสถานการณ์คับขัน อันเป็นอีกมุมหนึ่งของคนเสื้อแดงที่หลายคนไม่เคยสังเกต และฟาบิโอก็เลือกใช้ภาพนี้เป็นภาพแบ๊ก กราวด์ในคอมพิวเตอร์ของเขาด้วย

อีกภาพฟาบิโอตั้งชื่อว่า "City Levels" เป็นภาพแนวสิ่งกีดขวางที่กลุ่มคนเสื้อแดงสร้างไว้บริเวณแยกศาลาแดง ถัดขึ้นไปด้านบนมีรถวิ่งอยู่บนสะพานข้ามแยก และมีรถไฟฟ้าวิ่งอยู่ด้านบนอีกชั้น 





1.อลิซาเบตต้า เปิดหนังสือรวมภาพถ่ายของพี่ชาย

2.อลิซาเบตต้าและแม่

3.นิทรรศการภาพถ่ายของฟาบิโอ

4.ไมก์ บาค ช่างภาพชาวเยอรมัน เพื่อนฟาบิโอ

5.บรรยากาศวันเปิดนิทรรศการภาพ

6.ฟาบิโอถ่ายกับเจ้าหน้าที่เมื่อต้นเดือนพ.ค.2553 ก่อนถูกยิง

อลิซาเบตต้ากล่าวว่า ภาพนี้นำเสนอความขัดแย้งและกลับตาลปัตรในกรุงเทพฯ ในช่วงการชุมนุมของนปช.เมื่อปี 2553 ได้ดี ขณะที่ฝั่งหนึ่งกำลังชุมนุม ฝั่งหนึ่งมีทหารตั้งแนวอยู่ อีกฝั่งก็ดำเนินชีวิตต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

ขณะที่ผู้ชมอีกส่วนหนึ่งอาจมองว่า เป็นภาพที่สื่อถึงชนชั้นในสังคมก็ยังได้

ส่วนภาพที่อลิซาเบตต้าชื่นชอบมากที่สุด ได้แก่ ภาพชายเสื้อแดงคนหนึ่ง ขณะก่อบังเกอร์ยางรถยนต์กีดขวางเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้ามายังฝั่งผู้ชุมนุม โดยมีกองเพลิงและควันไฟจากการเผายางดำทะมึนอยู่รอบข้าง

อลิซาเบตต้าบอกว่าชอบภาพนี้ เพราะเห็นอารมณ์อันหลากหลายที่สื่อออกมาจากแววตาของผู้ประท้วง ทั้งมุ่งมั่น สิ้นหวัง และโกรธแค้น

สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากการเดินชมภาพถ่ายทั้งหมด คือ ภาพถ่ายของฟาบิโอไม่ค่อยมีเลือด ไม่มีภาพสยอง อย่างมากที่สุดคือรูปชายคนหนึ่งยืนพิงเสาไฟฟ้า หลังจากถูกยิงเข้ากลางหลัง 

ซึ่งการถ่ายภาพในประเทศ อื่นๆ ของฟาบิโอก็เป็นเช่นนี้ เขามักจะเลือกใช้อารมณ์และสีหน้า ตลอดจนองค์ประกอบที่ดูขัดแย้ง และน่าสนใจเป็นตัวเล่าเรื่องมากกว่าอย่างอื่น

น้องสาวฟาบิโอบอกอีกว่า เดิมทีฟาบิโอไม่ได้ตั้งใจเป็นช่างภาพ แต่อยากเป็นหมอ และเจาะจงด้วยว่าอยากเป็นหมอตามค่ายผู้อพยพขององค์การสหประชาชาติ จึงเข้าเรียนวิชาแพทย์ที่เมืองมิลาน อิตาลี 

แต่ปรากฏว่าเรียนได้เพียง 3 ปี ต้องลาออก เพราะกลัวเลือดมาก ถึงขนาดเคยเป็นลมในห้องเรียนขณะลงมีดด้วย 

หลังจากลาออกแล้ว ฟาบิโอมาช่วยงานตนในสตูดิโอถ่ายภาพ ทำให้สนใจการถ่ายภาพมากขึ้น และตัดสินใจยึดอาชีพช่างภาพ 

โดยเริ่มงานครั้งแรกเป็นช่างภาพแฟชั่นที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ที่นี่เองที่ฟาบิโอได้พบกับ "ไมก์ บาค" ช่างภาพชาวเยอรมัน ที่มาติดตามคดีตลอดหลังจากฟาบิโอถูกยิงเสียชีวิต ก่อนที่ฟาบิโอจะหันความสนใจมาถ่ายภาพเชิงสังคมในเวลาต่อมา

"ฟาบิโอเคยอยากเป็นหมอ เพราะอยากช่วยเหลือคน ต่อมาเขาคิดว่าการถ่ายภาพเล่าเรื่องราวของมนุษย์ในมุมต่างๆ ก็เป็นการช่วยนำเสนอชะตากรรม หรือชีวิตของคนเหล่านี้ให้โลกได้เห็น ถือเป็นการช่วยเหลือแบบหนึ่งเช่นกัน" น้องสาวเล่าถึงความตั้งใจของพี่ชาย

ความสนใจเช่นนี้เองได้นำพาให้ฟาบิโอมาเยือนประเทศไทย ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งอันแหลมคมที่สุดในหลายทศวรรษ เมื่อเดือนมี.ค.2553 อลิซาเบตต้าเสริมตรงนี้ พี่ชายตื่นเต้นและสนใจกับสิ่งที่ได้พบเห็นในประเทศไทยอย่างมาก จนถึงกับขายบ้านพักที่ประเทศบราซิล และปฏิเสธงานที่ฟิลิปปินส์ เพื่อจะมาตั้งรกรากในไทย

"ครั้งสุดท้ายที่ได้สไกป์กับฟาบิโอคือวันที่ 5 พ.ค.2553 ดิฉันเห็นได้เลยว่าเขามีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์ในไทยขณะนั้นมากๆ เขาบอกดิฉันว่า เขารู้สึกได้ว่ากำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเขาก็อยากอยู่เมืองไทยต่อ เพื่อทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้" น้องสาวฟาบิโอเล่าวันสุดท้ายที่คุยกับพี่ชาย

หลังจากฟาบิโอเสียชีวิต อลิซาเบตต้าได้พบรูปที่ฟาบิโอบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ จึงเลือกรูปที่สนใจมาจัดนิทรรศการครั้งนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ไม่มีใครได้เห็นรูปวินาทีสุดท้ายในชีวิตของช่างภาพหนุ่มผู้นี้ เพราะกล้องถ่ายรูปของฟาบิโอถูกขโมยไปตั้งแต่เกิดเหตุ และทุกวันนี้ก็ยังหาไม่พบ

"ก่อนหน้านี้ไม่เคยติดตามผลงานของพี่ชายอย่างจริงจัง เพิ่งได้มาค้นพบผลงาน และเข้าใจทัศนคติของพี่ชายหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว นิทรรศการนี้จึงเป็นการเดินทางที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อตัวดิฉันเองด้วย" อลิซาเบตต้าทิ้งท้าย

นิทรรศการผลงานสุดท้ายของฟาบิโอ มีไปจนถึงวันที่ 10 มิ.ย.นี้ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย อาคารมณียาเซ็นเตอร์ ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ