จำเลยคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์เบิกความยันไม่ใช่คนในภาพ

ประชาไท วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2556  เวลา 23.28 น. 

“สายชล แพบัว” ผู้ต้องขังตั้งแต่กลางปี 53 เข้าเบิกต่อศาลคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เทียบรอยสัก ยันไม่ใช่คนเดียวกับคนในภาพที่ใช้จับกุม เผยถูกซ้อมข่มขู่จึงต้องเซ็นรับสารภาพ ทั้งที่อ่านหนังสือไม่ออกและไม่มีทนาย พิจารณาคดีต่อจันทร์หน้า

21 ม.ค.56 เวลา 9.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ห้องพิจารณาคดี 405 มีการสืบพยานจำเลยในคดีเลขดำที่ 2478/2553 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 อายุ 28 ปี (ในวันเกิดเหตุ) อาชีพรับจ้าง และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 อายุ 26 ปี อาชีพรับจ้าง ในความผิดร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นซึ่งเป็นโรงเรือนที่เก็บสินค้าจนเป็นเหตุให้นายกิติพงษ์ สมสุข ซึ่งอยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตายและฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหตุเกิดที่ ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ บ่ายวันที่ 19 พ.ค.53 ช่วงที่มีการสลายการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยคดีนี้เป็นคดีเดียวกันกับกรณี 2 ผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชน ซึ่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้พิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.55

สำหรับในวันนี้มีการสืบพยานจำเลยคือนายสายชล ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ขณะนี้อายุ 30 ปี โดยนายสายชล เบิกความว่า เขาอ่านหนังสือไม่ออก เดิมเป็นชาวจังหวัดชัยนาท มาขายน้ำที่สนามหลวงตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยไม่ได้กลับบ้านที่ชัยนาทอีก ใช้สนามหลวงเป็นที่พัก เขาเบิกความว่าได้สักรูปปลาและนกที่แขนขวาตั้งแต่อายุ 17 ปี ส่วนที่แขนซ้ายด้านบนสักเป็นรูปหัวกะโหลก รวมทั้งสักที่ข้อเท้าด้วย

ช่วงที่มีการชุมนุมของ นปช. นั้น นายสายชล เบิกความว่าได้เข้าร่วมด้วยเพียงแต่เข้าไปขายน้ำอยู่รอบนอกของการชุมนุม วัน 19 พ.ค.53 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุรวมทั้งหลังจากที่มีการสลายการแล้วนั้น ตนขายน้ำและซีดีเพลงอยู่ที่หน้าห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว แต่ยังพักที่สนามหลวงเหมือนเดิม

นายสายชล เบิกความถึงตอนถูกจับกุมตัวว่าถูกเจ้าหน้าที่จับกุมวันที่ 7 มิ.ย.53 โดยมาจับกุม 10 คน บริเวณฝั่งใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สนามหลวง ซึ่งตนกำลังไปซื้ออาหารเที่ยง โดยในตอนแรกมีคนมาถามชื่อก่อนว่า “ใช่นายสายชลหรือไม่” ได้ตอบไปว่า “ใช่” จากนั้นตนจึงถูกล็อกตัว ทำให้ล้ม ถูกเท้ายันหน้า ให้หมอบ เอามือไพล่หลังและเตะด้วย ทั้งๆ ที่ขณะนั้นตนไม่มีอาวุธ โดยเจ้าหน้าที่ไม่มีหมายจับแสดงและไม่แต่งเครื่องแบบ โดยในระหว่างซ้อมตนตรงนั้น เจ้าหน้าที่ที่ซ้อมก็พูดด้วยว่า "มึงเผาบ้านเผาเมือง" และนำตัวขึ้นรถกระบะไปที่ สน.ชนะสงคราม

นายสายชล เบิกความว่า ที่ สน.ชนะสงคราม พนักงานสอบสวนได้สอบสวนที่ห้องสอบสวน โดยให้นั่งกับพื้น ใส่กุญแจไพล่หลังพร้อมทั้งเตะตนด้วย ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนไม่ได้ติดต่อญาติให้มาประกันตัว และวันนั้นในการสอบปากคำตนไม่มีทนายอยู่ด้วย สำหรับเหตุที่ต้องเซ็นชื่อในคำให้การ เพราะถูกซ้อมและขู่ว่าถ้าไม่เซ็นก็จะซ้อมอยู่อย่างนั้นและจะส่งตัวไปค่ายทหาร และตนก็อ่านไม่ออก ด้วยความกลัวจึงเซ็นชื่อ นายสายชลเบิกความด้วยว่าก่อนที่จะเซ็นชื่อ พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้อ่านข้อความในกระดาษให้ฟัง

ภาพซ้าย : ภาพที่ รปภ.ห้างเซ็นทรัลเวิลด์มอบให้พนักงานสอบสวนและถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในการจับกุม  โดยเจ้าหน้าที่เชื่อว่าภาพชายชุดดำดังกล่าวคือจำเลยที่ 1 ในที่เกิดเหตุ
ภาพขวา : นายสายชล จำเลยที่ 1 ขณะถูกนำตัวมาแถลงข่าวหลังถูกจับกุมเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 53 ภาพจากเว็บไซต์มติชน

ทนายจำเลยได้มีการนำรูปถ่ายบุคคลที่อยู่ในรูปถ่าย ซึ่งเป็นภาพที่ใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมและเป็นภาพที่ถูกใช้เป็นหลักฐานในศาลด้วยนั้น เมื่อนายสายชลได้ดูภาพดังกล่าวเขายืนยันว่าตนไม่ใช่บุคคลในรูปถ่าย

ทั้งนี้ในระหว่างการพิจารณาคดีทนายจำเลยได้มีการฉายภาพดังกล่าวบนจอโปรเจ็คเตอร์เพื่อให้ศาลและนายสายชลพิจารณา ซึ่งนายสายชลก็ยังยืนยันว่าไม่ใช่คนในภาพ รวมทั้งขอให้นายสายชลลองยืนในท่าเดียวกับคนในภาพเพื่อเปรียบเทียบรอยสักที่แขนขวา ซึ่งบุคคลในภาพดังกล่าวก็ไม่ปรากฏรอยสักแต่อย่างใด แต่ที่แขนนายสายชลจะปรากฏเห็นรอยสัก

ภาพที่ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับนายสายชล ซึ่งไม่ปรากฏรอยสักที่แขนขวา
 
นายสายชลเบิกความต่อว่า ในวันถัดมา หลังจากจับกุมแล้วเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายตนเองจาก สน.ชนะสงคราม ไปที่สถานที่หนึ่งเพื่อแถลงข่าว แต่ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน โดยมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาแถลง
ทนายจำเลยจึงนำภาพถ่ายของนายสายชล ขณะที่ถูกนำตัวมาแถลงข่าว ตอนแถลงข่าวในวันที่ 8 มิ.ย.53 ให้นายสายชลดู นายสายชลได้ยืนยันต่อศาลว่าคนที่ถูกนำตัวมาแถลงข่าวนั้นเป็นตนเอง และในภาพถ่ายที่แขนด้านขวาจะเห็นรอยสัก เขาเบิกความต่อด้วยว่าในวันแถลงข่าวตนก็ยังไม่ได้พบญาติหรือทนาย และในตอนจับกุมและแถลงข่าว เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์อย่างเดียว โดยไม่ได้บอกว่าร่วมกับใครเผา

นายสายชล เบิกความด้วยว่าก่อนหน้าที่จะโดนจับตนไม่เคยเห็นหรือรู้จักจำเลยที่ 2 หรือนายพินิจ แต่อย่างใด โดยพบครั้งแรกในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตอนที่ดีเอสไอหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษมาสอบปากคำ นายสายชล เบิกความยืนยันว่าตนเองไม่รู้จักทั้งจำเลยที่ 2 และ 2 เยาวชนที่ถูกดำเนินคดีนี้มาก่อน รวมทั้งผู้ตายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ คือ นายกิติพงษ์ สมสุข ก็ไม่เคยรู้จักหรือพบเห็นมาก่อน
นายสายชลเบิกความอีกว่าหลังจากที่ตนเองถูกจับกุมก็ไม่ได้รับสิทธิการปล่อยตัวชั่วคราว ทนายจำเลยถามด้วยว่าเมื่อเอกสารคำให้การเป็นตัวหนังสือทั้งหมด ตัวนายสายชลอ่านไม่ออก ดังนั้นข้อเท็จจริงนายสายชลจะให้การตามคำเบิกความในศาลนี้ใช่หรือไม่ นายสายชลจึงยืนยันต่อศาลว่าใช้ข้อเท็จจริงตามที่เบิกความในศาล

นัดต่อไปที่จะมีการพิจารณาคดีเป็นนัดสุดท้ายคือวันที่ 28 ม.ค. นี้ เวลา 9.00 น.

ทั้งนี้นายสายชล แพบัว จำเลยที่ 1 และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ จำเลยที่ 2 ปัจจุบันยังคงถูกคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่หรือโรงเรียนพลตำรวจบางเขน โดยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว ตั้งแต่กลางปี 2553