ในปีที่สายลมเดิมได้พัดธงชาติปลิวไสว ในมือคนกว่าสี่หมื่นคนทั้งที่ลงทะเบียนหรือไม่ได้ลง ทั้งที่ปักหลักหรือหมุนเวียนเข้าออก "สนามม้านางเลิ้ง" ที่มั่นแห่งใหม่ของประชาชนคน "ทนไม่ไหว..." ต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และวงศาคณาญาติ
ภายใต้การนำการชุมนุมโดยนายทหารนอกราชการยศพลเอก ที่คนส่วนใหญ่เรียกขานว่า "เสธ.อ้าย" ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่มาร่วมชุมนุมไม่รู้จักชื่อคนคนนี้มาก่อน แต่ก็ยอมมาร่วมชุมนุมอย่างมีอารมณ์ร่วม ตะโกนกู่ก้อง ร้องไล่ ด่าว่าคนในรัฐบาล "ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ" อย่างเมามัน
นักเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่เดินเข้าสนามม้าเป็นครั้งแรกในชีวิต บอกว่าได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ในระนาบเดียวกับ "ปรากฏการณ์สนธิ" เมื่อปี 2548 อันเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนพันธมิตร
ซึ่งหลังการปิดเวทีประชาชนคนทนไม่ไหวที่สนามม้านางเลิ้ง สื่อหลายสำนักให้ความสนใจในการขยับตัวของ "เสธ.อ้าย" พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ โดยฉับพลันทันที แต่ก็มีคำถามว่า "จะชนะยังไง...ชนะแล้วจะทำอะไรต่อไป"
จึงต้องตามสืบเสาะ แกะรอยดูว่า "พิมพ์เขียว" หรือโครงร่างทางความคิดของขบวนใหม่นี้มีเช่นไร จะก้าวต่อไปอย่างไร ? เพราะที่ผ่านมาได้ยินแต่คำว่า "ต้องแช่แข็งประเทศ 5 ปี"
ความจริง "องค์การพิทักษ์สยาม" นี้ได้จัดตั้งมาเป็นปีแล้ว โดยได้เคยมีเพียงร่องรอยการเคลื่อนไหวในระดับกิจกรรมคือ การจัดงานทำบุญประเทศไปครั้งหนึ่ง ซึ่งแม้เป็นการดำเนินการภายใน บอกกล่าวไปตามเส้นสายสัมพันธ์เท่านั้น ปรากฏว่าเมื่อถึงวันงาน มีคนมาร่วมหลายพันคน
การที่ "เสธ.อ้าย" ออกมาชักชวนคนมาร่วมชุมนุมครั้งแรกเมื่อ 28 ตุลา ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตัวว่า ถ้าคนมาไม่ถึง 1,000 คน ก็เลิก จึงเป็นการดำเนินกลยุทธ์อย่างเชี่ยวชาญในเชิงจิตวิทยามวลชน
จนทำให้แกนนำ พธม. สื่อมวลชนบางส่วน หรือแม้แต่ฝ่าย รัฐคนเสื้อแดง ฯลฯ ล้วนอดทึ่งไม่ได้ ที่เห็นพลังมวลชนหลายหมื่นคนรวมตัวกันในสนามม้านางเลิ้ง
ว่ากันว่า ขณะที่การเตรียมการเดินสายต่อขั้วกลุ่มต่างๆ ของคนที่เป็น "แกนนำ" ของขบวนนี้ เตรียมการด้วยความมั่นใจ ในประดิษฐ์วาทกรรมการชุมนุมแนวใหม่ ที่พวกเขาออกแบบไว้อย่างลึกลับ ซับซ้อนยิ่งนัก
โดย "แกนนำ" ล้วนแต่เป็นผู้ที่เคยผ่านการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรมาแล้วทั้งสิ้น จึงเอาคนที่เคยมาร่วมกิจกรรมเดิม (ทำบุญประเทศ) หลายพันคนเป็นตัวตั้ง
การตอบรับจากภาคีเครือข่ายกลุ่มใหญ่ๆ อย่างค่ายสันติอโศก ก็เทมาอีกมาก และด้วยการยิงคำขวัญทางการเมืองที่มีนัยสำคัญ คือ "รวมพลคนทนไม่ไหว" นับเป็นจุดจี้ใจและกวาดต้อนขาจร จากทุกกลุ่ม ทุกแนวคิด ทุกพรรค ฯลฯ อย่างชนิดที่เรียกว่า "ก้าวข้าม" ขีดจำกัดเดิมผ่านตลอด
หนึ่งในคลังสมองของ "แกนนำ" ชี้ว่า การชูประเด็นปัญหาหลักสามด้านคือ การจาบจ้วงสถาบัน การคอร์รัปชั่น และปัญหาเศรษฐกิจ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
แต่ชุดงานการศึกษา วิจัย ได้มีชุดข้อมูลที่เป็นปัญหาหลักของชาติมากกว่านั้นเยอะคือ "3 วิกฤติ 4 โคม่า 5 ปัญหา" ซึ่งจะถูกปล่อยข้อมูลสู่สังคมในการชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 2
พิมพ์เขียวสำคัญหลังภารกิจสำเร็จก็คือการรื้อ ซ่อม สร้าง และวางรากฐานสังคมไทยใหม่ให้มีความสุข สมดุลอย่างรอบด้าน
โดยการรื้อนโยบายหรือมาตรการที่สร้างปัญหามากและเป็นเหตุให้เกิดปัญหาความเสี่ยงภัยทางการเงินการคลัง เช่น เรื่องข้าว เป็นต้น มีการเสริมจุดอ่อนบางด้านของนโยบายที่พอไปต่อได้ และสร้างนโยบายและมาตรการใหม่อย่างเด็ดเดี่ยว เข้มข้น เช่นการแก้ปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกินของเกษตรกรแบบม้วนเดียวจบ เป็นต้น
ในทางการเมืองจะมีการสร้างองค์กรตัวแทนกลุ่ม สาขาวิชาชีพ ที่ไม่ต้องใช้ทุนสามานย์เป็นใบเบิกทาง ก็มีสิทธิ์จะเข้ามาดูแลประเทศของเขาได้เช่นกัน จะมีการปฏิรูประบบราชการขนานใหญ่โดยเฉพาะส่วนภูมิภาค ผู้ว่าราชการจังหวัดจากการแต่งตั้งก็จะกลายเป็นอดีต
แนวทางในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีการศึกษารูปแบบการจัดการปัญหาของไออาร์เอในอังกฤษ เป็นตัวแบบการศึกษาและมาปรับใช้ เป็นต้น
ปัญหาพลังงาน พร้อมแนวการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เช่น การยึด ปตท. คืนรัฐ ก็ดี การปราบทุจริตอย่างถึงรากที่จะเสนอทั้งมาตรการเชิงโครงสร้างและนโยบาย และมาตรการรูปธรรมที่หาก "ยึด" อำนาจรัฐได้ในปลายเดือนนี้ ก็อาจจะเห็นมาตรการ "ยึด" สมบัติศฤงคารที่บรรดานักการเมืองกอบโกยโกงไปจากแผ่นดิน
นี่คือหนังตัวอย่างจากกลุ่มคลังสมองของ "เสธ.อ้าย" ซึ่งสรุปได้ว่า การต่อสู้ขององค์การพิทักษ์สยาม และภาคีเครือข่ายไม่ได้มีเพียงยุทธศาสตร์หยุดการเลือกตั้งไว้ชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม ประธานองค์การพิทักษ์สยาม จะนัดแถลงข่าวในวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน ในเวลา 10.00 น. โดยมีเครือข่ายภาคประชาชนกว่า 100 องค์กรเข้าร่วมด้วย
ที่สุดในภาคีเครือข่ายได้ลงมติกำหนดให้วันที่ 24 พฤศจิกายน เป็นวันที่จะจัดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในรอบที่ 2 ซึ่งตั้งเป้าให้มีประชาชนมาร่วมชุมนุมเรือนล้าน
"หากในครั้งนี้ ผมไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลได้สำเร็จ ก็จะขอยุติบทบาทไปโดยปริยาย" พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ลั่นคำสัญญาสุภาพบุรุษ