Facebook นพ.เหวง โตจิราการ 8 พฤศจิกายน 2555 >>>
วันนี้ (8 พ.ย. 55) นพ.เหวง โตจิราการ โพสท์ข้อความอัด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร กรณีฟีฟ่าปฏิเสธการใช้สนามฟุตซอลของ กทม. ดังนี้
เมื่อวานนี้ (7 พ.ย. 55) ผมได้อภิปรายสนับสนุนร่าง พรบ. ยกระดับโรงเรียนนายร้อยทหารให้ถึงชั้นปริญญาเอกที่เสนอโดย ครม. ผมมีข้อสังเกตบางอย่างมาฝากเพื่อนๆในเฟซของผมดังนี้ครับ
1. ผมเท้าความถึงสมัยเด็กว่า ยุคนั้นเด็กชายที่จบมัธยมต้น ใฝ่ฝันที่จะเข้า รร. เตรียมทหารกันมาก อาจจะมากกว่า รร.เตรียมอุดม สวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ เสียด้วยซ้ำไป แต่ความที่มีกฎว่าห้ามบิดาเป็นคนต่างด้าว และสายตาต้องดี (ห้ามใส่แว่น) ผมก็เลยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะไปสอบเข้า รร.เตรียมทหาร ในปัจจุบันความรู้สึกที่อยากเข้า รร.เตรียมทหาร ของเด็กมัธยมก็ยังมากอยู่ไม่น้อย หมายความว่า รร.เตรียมทหาร ดูดเอายุวชนที่คุณภาพดีของประเทศเข้าไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากโรงเรียนทหารทั้งหลายของไทยมีคุณภาพดี ก็ต้องได้ผลิตผลชั้นเยี่ยมออกมาเมื่อจบการศึกษาแล้ว แล้วเป็นไงครับ ???
ผมเองไม่ได้มองทหารหรือกองทัพเลวร้ายเสียทั้งหมด ผมได้ชี้ว่า อันที่จริง อาจจะแบ่งทหารออกได้เป็นสองยุค คือยุคต้นและยุคท้าย (ก่อนจะถึงยุคปัจจุบัน) ยุคต้น ทหารนี่แหละครับที่มีบทบาทก้าวหน้า ต่อสังคมไทย
กล่าวคือ ทหารนี่แหละเป็นกลุ่มบุคคลที่ริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย (ไม่ได้มองข้ามพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ในสมัย ร.5) นั่นคือ รต.เหรียญ ศรีจันทร์ และ รอ.เหล็ง ศรีจันทร์ ครับแต่มีคนทรยศเอาความลับไปบอกจึงทำให้พวกเขาทั้งหมดถูกจับเป็นกบฏถูกประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต
ถัดมาก็สมัย อ.ปรีดี ที่มีพระยาพหลพลพยุหเสนาครับที่สำเร็จเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองและหลวงพิบูลสงครามช่วยปราบกบฏบวรเดชของต่างประเทศ เคลาวิต ปราชญ์ชาวเยอรมันก็อยู่ในแวดวงทหารครับที่ เสนอหลักการลือลั่นที่เป็นสัจจธรรมสากลทั่วไป ที่กล่าวว่า
“การเมืองก็คือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด สงครามก็คือการต่อเนื่องของการเมืองในรูปแบบที่หลั่งเลือด”
และผมก็อภิปรายว่า ความจริง ผลสัมฤทธิ์ทางด้านนววัตกรรมจำนวนมากก็เกิดจากแวดวงทหารเช่นคอมพิวเตอร์ และจรวดสำรวจอวกาศเป็นต้น ดังนั้นโรงเรียนทหาร หากทำในทิศทางแนวทางที่ถูกต้องก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
แต่น่าเสียดายที่ยุคหลังของทหารไทย ที่โดนครอบงำด้วยรากเหง้าทางความคิดของ จักรวรรดินิยมอเมริกา และ ระบบคิดอนุรักษ์นิยม จารีตนิยม จึงทำให้ทหารไทยจำนวนไม่น้อยที่ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
ในสมัยสงครามเย็น หลักสูตรในกองทัพ สอนแบบอเมริกัน กล่าวคือ “คอมมิวนิสต์เป็นยักษ์เป็นมาร เอาคนมาทำนา เอาคนแก่มาทำปุ๋ย เอาผู้หญิงมาเป็นของกลาง”ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลโดยสิ้นเชิง
ในยุคเดียวก้นก็เห็นการยึดอำนาจรัฐประหาร เป็นอาวุธวิเศษในการก้าวเข้าสู่อำนาจ จนปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น
ผมยกตัวอย่างนายทหารในสองปีที่ผ่านมา พูดอย่างทำอย่าง เช่นบอกว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่เอาเข้าจริงก็ใช้การทหารมาแก้การเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับสฤษด์ ถนอม ประภาส ผินชุณหวัณ (จำได้ไหม ?? ใครเอ่ย ???)
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไงละครับ (จริงไหมครับ ?) ดังนั้นผมก็เลยบอกว่า ผมสนับสนุนร่าง พรบ.รร.ทหาร ที่จะยกระดับเป็นปริญญาเอก แต่ผมขอฝาก รมต.กลาโหม ครับว่า
1. ต้องขุดรากถอนโคน ระบบคิดแบบอนุรักษ์นิยม จารีตนิยมออกจากโรงเรียนทหารให้ได้ และต้องแทนที่ด้วยระบบคิดแบบเสรีนิยม
ผมยกตัวอย่าง ว่าแม้แต่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน(จีนแดง)ที่เขายังมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ไม่เลิก แต่ปัจจุบัน เขายอมรับว่าต้องใช้ระบบแบบเสรีนิยมในทั่วประเทศของเขา (นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่มีรายละเอียดมากแต่ผมไม่มีเวลาที่จะอธิบายจึงไม่ได้อธิบาย) กองทัพของจีนแดงก็มีระบบคิดแบบเสรีนิยมแล้วครับ
2. รร.ทหาร ต้องสอน รัฐศาสตร์ ปรัชญาการเมือง โดยเฉพาะปรัชญา ของระบอบประชาธิปไตย (ที่แท้จริง) อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทหารต้องรู้ว่า ปรัชญาของกองทัพคืออะไร กองทัพมีไว้เพื่ออะไร คำตอบสำเร็จรูปที่ว่า มีไว้เพื่อปกป้อง ชาติศาสน์กษัตริย์นั้นถูกต้อง แต่สั้นและเป็นนามธรรมเกินไป
และพวกอนุรักษ์นิยมจารีตนิยมก็ตีความเข้าข้างตัวเองได้ จนนำเอากองทัพไปทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีก
ต้องอธิบายให้ละเอียดว่า ทหารจะปกปัองอนุรักษ์นิยมจารีตนิยม หรือ เสรีนิยม (ซึ่งก็มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเฉกเช่นกัน ไม่ใช่ระบบประธานาธิบดี เช่น กองทัพอังกฤษก็ต้องปกป้องพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ)
ผมบอกว่าผมดูหลักสูตรที่ทางรัฐสภาได้แจกเป็นเอกสารประกอบร่าง พรบ. นั้นเห็นชัดว่า ไม่มีการร่ำเรียนทางด้าน รัฐศาสตร์อย่าว่าแต่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเลย ไม่มีการร่ำเรียนทางด้านปรัชญา และไม่มีการศึกษาให้ลึกซึ้งว่า แท้จริงแล้วปรัชญาของการดำรงอยุ่ของกองทัพคืออะไร คือการยึดอำนาจรัฐประหารซ้ำซากซึ่งมีถึง 22 ครั้งแล้วอย่างงั้นหรือเปล่า
3. ผมเสนอให้ รร.ทหาร ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของชาติไทยโดยละเอียด ที่ผ่านมาประวัติศาสตร์ไทย มีแต่ฝ่ายพลเรือนศึกษาค้นคว้าเท่านั้น และอีกส่วนหนึ่งสืบทอดมาจาก ระบบศักดินาเท่านั้น รร.ทหาร นี่แหละน่าจะศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของไทยเราเองให้ลึกซึ้งแตกฉานและนำเสนอต่อสาธารณชนต่อไป แต่นี่ในอดีตที่ผ่านมาของ รร.จปร. ยังไม่เคยปรากฏผลงานด้านนี้เลยครับ (ยกเว้นข้อถกเถียงเรื่องวันทำยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น) หรือใครเคยพบเห็นกรุณาให้ข้อเท็จจริงผมด้วยครับ
4. ผมเสนอให้ดำเนินการค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ให้ทันสมัยหรือล้ำสมัย ไหนๆจะมีระดับปริญญาเอกแล้ว ก็ต้องมีสาขาวิชาค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่สมัยใหม่ให้ทัดเทียมประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงดูแต่อินเดียซิครับ อย่าว่าแต่จีนแดงเลย เทคโนโลยี่เขาล้ำหน้าไปถึงกำลังจะส่งคนไปดวงจันทร์แล้วครับแต่ของเราทุกอย่าง ซื้อหมด แล้วซื้อแบบไม่ฉลาดด้วย (ไม้ชี้ผี จีที 200 ไงเล่าครับ ใช่ไหมครับ) ซื้อโดยต้องการคอรัปชั่นด้วยใช่ไหมครับเช่น เครื่องบินกริฟเพน รถล้อยางหุ้มเกราะจากยูเครน เรือเหาะที่จะถ่ายภาพผู้ก่อความรุนแรงภาคใต้ (ที่ยังเหาะไม่ขึ้นด้วยซ้ำไปด้วยราคาที่แพงกว่าบริษัทกันตนาซือ 4-5 เท่าโกงกินกันใช่ไหมครับ)
ผมมีเวลาเพียง 7 นาทีเท่านั้นเอง จึงอภิปรายได้เพียงเท่านี้ครับ ที่ค้างอีกนิดหน่อยเนื่องจากเวลาไม่พอ ผมตั้งใจจะชี้ให้เห็นว่า ดูอิสราเอลซิครับ (ผมไม่ต้องการไปพูดในแง่ของสงครามตะวันออกกลางนะครับ) เขาเรียนรู้เทคโนโลยี่จากอเมริกัน จนสามารถผลิดปืนเล็กยาว (ทาโว่ แล้วที่ออกมาใหม่กว่าคือ x-95 ปืนพกแบบเจอริโม) รถถังหุ้มเกราะแบบใหม่ เครื่องบินไร้คนขับแบบสอดแนมและโจมตีแบบใหม่ สารพัด แล้วเขาเอามาเสนอขายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ครับ นอกจากนี้อิสราเอล เขาได้เทคโนโลยี่จากสหภาพโซเวียด (หรือรัสเซียปัจจุบัน) เขาสามารถรับซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ของโซเวียดรัสเซียทั้งหมด หรือรับอัพเกรดได้หมดครับ ทำเงินตั้งเท่าไร และทำให้กองทัพของอิสราเอล มีเขี้ยวเล็บพิษสงร้ายกาจเท่าไร น่าสพรึงกลัวแบบเล็กพริกขี้หนูตั้งเท่าไร
แล้วที่สำคัญคือไม่มีกองทัพไหนในโลกนี้ครับ ที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงใช้กองทัพในการทำรัฐประหาร และใช้กองทัพในการฆ่าฟันประชาชนของตนเอง (ผมพูดไปบางส่วน แต่เวลาไม่พอจึงพูดไม่ได้มากเท่าไรครับ) ไม่รู้ว่าท่าน รมต.กลาโหม จะรับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขอย่างไรหรือไม่นะครับ