ประชาไท 1 ตุลาคม 2555 >>>
30 ก.ย. 55 ในช่วงท้ายของเวทีเสวนา 2 ปีนิติราษฎร์ 6 ปีรัฐประหาร ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าวถึงรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่า หลังจากได้อ่านรายงานมีหลายจุดที่ค่อนข้างมีประโยชน์ เช่น มีข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่งที่ใช้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ แต่ปัญหาคือ ข้อมูลดิบที่แสดงมีไม่เพียงพอ
สาวตรีกล่าวว่า แล้ว คอป. เกี่ยวอะไรกับนักกฎหมายและรัฐประหาร เราทราบกันดีว่าใน คอป. มีนักกฎหมายค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเราดูทัศนคติก็ดี หรือตัวรายงานก็ดี จะพบว่า คอป. อาจไม่ใช่นักกฎหมายที่รับใช้รัฐประหารโดยตรง แต่ปัจจุบันก็มีการตั้งคำถามกันว่า คอป. รับใช้รัฐบาลที่เป็นผลพวงของรัฐประหารหรือไม่
“คอป. อาจถูกเปลี่ยนชื่อเป็น คณะกรรมการแอบอ้างความเป็นกลางเพื่อรับรองความชอบธรรมให้กับการปราบปรามประชาชน” สาวตรี กล่าว
สาวตรีกล่าวต่อว่า หลังอ่านรายงานอย่างละเอียดจะพบประเด็นปัญหาคือ
1) ที่มาของ คอป. ที่มีการแต่งตั้งและคัดเลือกในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นฝ่ายที่ปราบปรามประชาชน ลักษณะของความเป็นกลางจึงถูกตั้งคำถามแต่แรก
2) ปัญหาการอ้างอิงแหล่งข้อมูล จะเห็นว่ามีการเทน้ำหนักพยานหลักฐานไปที่ฝ่ายรัฐ เต็มไปด้วยคำให้การของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการ แต่ในส่วนของชาวบ้าน ผู้เห็นเหตุการณ์มีน้อยมาก
3) ในรายงานราว 300 หน้า กว่าครึ่งพยายามอธิบายปัญหาที่ คอป. มองว่าก่อให้เกิดความไม่ปรองดองหรือความขัดแย้งยืดเยื้อ ซึ่งเราจะพบปัญหาในการมองปัญหา เช่น คอป. สรุปปัญญาคดีหลายคดีในศาลรัฐธรรมนูญว่าศาลทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง แต่รายละเอียดมีแค่คดีซุกหุ้นเท่านั้น คดีอื่นๆ ไม่มีรายละเอียดเลย, ในการพูดถึงปัญหาเรื่องการชุมนุมปิดสถานที่ต่างๆ เปรียบเทียบระหว่างฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อแดงแดง สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลพวงจากการปิดสนามบินไม่มีปรากฏ แต่เน้นเรื่องการปิดสถานที่ต่างๆ ของคนเสื้อแดง รวมถึงผลพวงของมัน นี่คือลักษณะที่แสดงทัศนะออกมา, คอป. พูดถึงปัญหาผังล้มเจ้า โดยบอกว่า ศอฉ. แสดงชัดเจนว่ามีผังล้มเจ้า แต่ คอป. ไม่ระบุเลยว่าในที่สุด ศอฉ. ประกาศว่าไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น, คอป. ยกเรื่องการอ้างสถาบันของฝายต่างๆ ทำให้เกิดปัญหายืดเยื้อ พร้อมเสนอว่าควรหยุดอ้างได้แล้ว แต่ในรายงานไม่เคยมีการวิเคราะห์ให้เห็นบทบาทของสถาบันเองนับแต่การรัฐประหารเป็นต้นมา และไม่มีการยกว่าเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด
สาวตรีกล่าวต่อว่า ปัญหาสำคัญสำหรับคอป.คือการคอรัปชั่นของนักการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนทราบดี แต่สถาบันศาล สถาบันทหาร องค์กรอิสระก็มีปัญหาเรื่องคอรัปชั่นเช่นกัน แม้กระทั่งองคมนตรีเองก็เคยถูกต้องคำถามจากประชาชน คอป.จำเป็นต้องวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ด้วย
ประเด็นเรื่อง ชายชุดดำ สาวตรีกล่าวว่า ในทางกฎหมาย ทุกวันนี้ ศาล อัยการ พนักงานสอบสวน ไม่สามารถชี้ได้ว่าชายชุดดำเป็นฝ่ายใคร มีจำนวนเพียงไร แต่ในรายงาน คอป. มีการเขียนถึงเรื่องนี้เยอะ และพยายามเขียนอย่างมากว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนเสื้อแดง ผู้ชุมนุม และเขีนเกริ่นๆ สรุปแตะๆ ให้คิดต่อเอาเองว่า เหตุที่เจ้าพนักงานต้องยิงเพราะมีชายชุดดำอยู่ในที่ชุมนุม ลักษณะแบบนี้นำไปสู่การตัดสินว่า ชายชุดดำแท้ที่จริงคือคนเสื้อแดง เจ้าพนักงานยิงเพราะเป็นการตอบโต้ ถามว่าในฐานะมีนักกฎหมายร่วมอยู่หลายคน คอป. สรุปแบบนี้ได้อย่างไร
“เรื่องพยานหลักฐานนั้นก็สำคัญมากสำหรับนักกฎหมาย การสลายการชุมนุมเต็มไปด้วยพยานหลักฐานในสถานที่การชุมนุม สิ่งที่เกิดหลังการสลายการชุมนุมคือ บิ๊กคลีนนิ่งเดย์ มีการล้างทำความสะอาดพยานหลักฐานทั้งหมด แต่เรื่องนี้ คอป. ไม่พูดถึงเลย” สาวตรี กล่าว
เธอกล่าวด้วยว่า ข้อเสนอของ คอป. ที่สำคัญ คือ อยากให้ไปสู่การปรองดองด้วยการยุติพฤติกรรมเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งทั้งหมดทั้งปวง ในรายงานพูดถึงความขัดแย้งคือการชุมนุม นี่เป็นนัยยะแฝงที่ คอป. ต้องการบอก คำถามคือ การเสนอแบบนี้ ไม่แก้ปัญหาเลย ตราบใดที่ปัญหาในเชิงโครงสร้างยังอยู่ สิทธิของชาวบ้านยังแย่เหมือนเดิม จะมาเรียกร้องให้ชาวบ้านหยุดเรียกร้องได้อย่างไร
ประเด็นต่อมาคือยุติการอ้างสถาบัน (หน้า 256) คอป. เห็นว่าข้อเสนอที่ผ่านมาเกี่ยวกับสถาบัน ยังไม่ได้รับการปฏิบัติตาม โดยเฉพาะนักการเมือง และกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ยังคงพาดพิงสถาบัน เอามาเป็นประเด็นทางการเมือง ขอให้ตระหนักว่าการกล่าวอ้างสถาบันยิ่งทำให้สถาบันอันตรายมากขึ้นและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ขอเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ คอป. ทุกฝ่ายต้องงดการกล่าวอ้างถึงสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และกำหนดแนวทางที่มีผลในการเทิดทูนสถาบันให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ...จะเห็นว่านี่เป็นการแฝงเอาแนวคิดราชาชาตินิยมมาปิดปาก ประชาชน ปัญหาเกี่ยวกับสถาบันที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาความเข้าใจที่แตกต่าง ความเชื่อที่แตกต่างกัน ในเฟซบุ๊คมีการแชร์ภาพคุณยายที่ถือป้ายตั้งคำถามว่าผิดด้วยหรือที่รักในหลวง คำตอบคือ ไม่ผิด แต่การแสดงความรักโดยการกระทืบคนอื่น นั่นเป็นสิ่งผิดและเป็นการดึงสถาบันลงมา บางคนอาจอยากถามว่าแล้วจะผิดอะไรหากมีบางคนไม่ได้คิดแบบคุณยาย จะสามารถสร้างบทสนทนากันดีๆ ได้หรือไม่
“การแก้ปัญหาในประเด็นนี้ไม่ใช่ให้ยุติการพูด แต่ต้องยิ่งพูดเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกัน และลดการเคลือบแคลงต่างๆ ยิ่งให้ยุติยิ่งทำให้เกิดการพูดกันลับหลัง ติฉินนินทา” สาวตรี กล่าว
ส่วนประเด็นเรื่อง 112 คอป. เสนอสองส่วนในการแก้ไขมาตรานี้ คือ ให้ลดโทษลง เหลือจำคุกไม่เกิน 7 ปี ซึ่งนิติราษฎร์ยังถือว่าเยอะอยู่ และตั้งองค์กรพิเศษในการกลั่นกรองคดี คือ สำนักพระราชวัง เรื่องนี้นิติราษฎร์เสนอไปแล้ว 7 ข้อ และยังยืนยันว่าอย่างน้อยต้องแก้ทั้ง 7 ข้อดังกล่าวเพื่อให้มีการแสดงออกโดยสุจริตได้ อย่างไรก็ตาม แม้ คอป. เสนอเพียงเท่านี้ แต่ถ้าทำให้เรื่องนี้ขยับไปได้อีกเล็กน้อยก็ควรทำ