"จตุพร" เข้าให้การดีเอสไอ แฉมีคนเห็นกลุ่มบุคคลแต่งชุดดำนั่งรถตู้ ตร. ออกจาก "ราบ 11" ที่ตั้ง "ศอฉ." ช่วง เม.ย.-พ.ค. 53 จี้ตรวจสอบวงจรปิดย้อนหลัง แนะเรียกสอบพยานสำคัญ 2 ปาก เป็น เจ้าหน้าที่เขียนแผนผังล้มเจ้า กับอีกคนเป็น ผู้รวบรวมคำสั่ง ศอฉ. ทุกฉบับ ยันไม่ได้อาฆาตแค้นทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ต้องการให้นำตัวผู้สั่งการมาลงโทษ ขณะที่ นปช. สมทบอีก 1 ล้านให้ดีเอสไอ เป็นรางวัลให้ผู้แจ้งเบาะแสคนร้าย ที่ทำให้มีคนตายช่วงสลายการชุมนุม "มาร์ค" ลั่นพร้อมพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรม มั่นใจความจริงอยู่เหนืออำนาจรัฐ
เมื่อวันที่ 22 ต.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 99 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน จากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 โดยนาย จตุพรให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าให้ปากคำว่า จะให้ปากคำเป็นถ้อยคำ เพราะไม่ได้เตรียมเอกสารใดๆ มาด้วย เนื่องจากทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นอยู่ในความทรงจำทั้งหมด แต่หากดีเอสไอต้องการพยานเอกสารก็จะนำมามอบให้ภายหลัง
แกนนำ นปช. กล่าวว่า นอกจากนี้ จะเสนอให้ดีเอสไอประสานขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพรถที่เข้าออกกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ที่เคยเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เนื่องจากมีแหล่งข่าวให้ข้อมูลที่อาจเกี่ยวข้องกับชายชุดดำ โดยพบว่าในรถตู้บางคันมีบุคคลแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำอยู่ในรถ และเป็นรถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งยังเห็นควรให้ดีเอสไอเชิญบุคคลอีก 2 คน ที่เชื่อว่าจะเป็นพยานสำคัญ คือทหารที่ทำหน้าที่เขียนแผนประทุษกรรม และแผนผังล้มเจ้า เพื่อสอบถามความเชื่อมโยงไปถึงแรงจูงใจในการปฏิบัติการ และอีกรายคือทหารผู้รวบรวมคำสั่งของ ศอฉ. ทุกฉบับ
"ผมไม่ได้มีความอาฆาตแค้นทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ต้องการให้นำตัวผู้สั่งการมาลงโทษ พร้อมขอตั้งข้อสังเกตเรื่องชายชุดดำว่าอาจเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์ หรือจัดฉากเพื่อเอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติการเท่านั้น เพราะพบว่ามีการเผยแพร่ภาพชายชุดดำหลังจากวันเกิดเหตุ 3 วัน ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติในการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชน หากพบเห็นข้อมูลก็ต้องนำเสนอต่อสาธารณะทันที แต่เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.2553 และเหตุการณ์ที่อนุสรณ์สถาน มีการนำภาพชายชุดดำมาเผยแพร่ภายหลัง" แกนนำ นปช. กล่าว
ขณะเดียวกัน นายสมหวัง อัสราษี รองประธาน นปช. ยื่นหนังสือถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอเพิ่มเงินรางวัลนำจับให้ผู้แจ้งเบาะแส จนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอตั้งรางวัลนำจับไว้ 7 คดี คดีละ 1,000,000 บาท โดยนายสมหวังระบุว่า นปช.จะขอเพิ่มรางวัลให้ ผู้แจ้งเบาะแสอีกรายละ 1,000,000 บาท และเงินทั้งหมดเป็นเงินส่วนตัว เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พยานที่จะเข้าให้การ และทำให้การทำงานของดีเอสไอ มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากนี้เชื่อว่าจะมีแนวร่วมรายอื่นขอสมทบรางวัลนำจับเพิ่มเติม แต่อาจเป็นในรูปแบบของที่ดิน
ด้านนายธาริตกล่าวว่า ไม่ขัดข้องและถือเป็นเจตนาของผู้ประสงค์ดี ในการทำให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไปสู่การจับกุมคนร้าย จากการตรวจสอบข้อกฎหมายพบว่าสามารถทำได้ โดย ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงิน 2,000,000 บาท เมื่อสามารถแจ้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์จนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายดำเนินคดีได้ ที่ผ่านมาดีเอสไอเคยตั้งรางวัลนำจับในลักษณะนี้มาแล้ว แต่ยังไม่เคยมีบุคคลภายนอกมาร่วมสมทบเงินรางวัลนำจับแต่อย่างใด
ต่อมานายจตุพร ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าให้การนานกว่า 5 ชั่วโมงว่า พนักงานสอบสวนสอบถามย้อนหลังไปถึงช่วงรัฐประหารปี 2549 ถึงเหตุการณ์การชุมนุม และสลายการชุมนุมปี 2553 โดยเป็นการลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงยังให้ปากคำกรณีชายชุดดำในรถตู้ที่ค่าย ร.11 รอ. ด้วย ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะนัดสอบปากคำอีกครั้งในวันที่ 24 ต.ค. นี้ เวลา 10.00 น.
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายจตุพรอ้างว่ามีกลุ่มบุคคลแต่งกายชุดดำนั่งรถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกไปจาก ร.11 รอ. ในเหตุการณ์สลายม็อบเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ว่าเคยชี้แจงกันไปตั้งแต่ปี 2553 และเมื่อฟังคนพูดแล้วต้องคิดว่าทำไมคนพูดถึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนแรกบอกไม่มีชายชุดดำ แต่พอถูกจับได้ว่ามี ก็เบี่ยงเบนไปว่ามีชายชุดดำ แต่เป็นพวกคนอื่น เดี๋ยวคงเปลี่ยนไปอีก จึงอยากให้หน่วยงานที่ทำเรื่องเหล่านี้มีหลัก และมีความสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นจะลดความน่าเชื่อถือในการทำงานของตัวเอง และหากนำไปสู่คดีความ คนพวกนี้ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย ถ้าดีเอสไอไปกลั่นแกล้งใคร คนที่ถูกละเมิดสิทธิ์ก็ต้องใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย สำหรับตนกำลังรอดูว่าดีเอสไอจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ดีเอสไอจะเรียกนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรอง นายกฯ และอดีต ผอ.ศอฉ. ไปสอบสวนเพิ่มเติม อีกนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า วันก่อนดีเอสไอบอกกับตนว่าไม่มีอะไรติดใจต้องสอบเพิ่ม ซึ่งที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ก็พูดชัดว่ามีธงในเรื่องนี้ แต่พอไปพูดในที่ประชุมสภา กลับไม่กล้าพูด แต่ไม่หวั่นไหวหากมีการดำเนินคดีกับพวกตนตามธงของเขา เพราะพร้อมพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยหวังพึ่งกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ได้มีแต่ดีเอสไอ และมั่นใจว่าความจริงต้องอยู่เหนืออำนาจรัฐ