White Lie ? แท้จริงก็แค่..กระสุนปลอม

โลกวันนี้ 10 กันยายน 2555 >>>


ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ถือว่ามีความคืบหน้าของคดี 98 ศพ จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 อย่างมาก โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน แถลงว่า คณะพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ตำรวจ และอัยการ ที่ร่วมกันสอบสวนการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน พบว่ามีการตายที่น่าเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ 18 ศพ จึงได้ส่งผลการสอบสวนไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และ บช.น. ได้ร้องขอเพิ่มเติมอีก 9 ศพ รวมเป็น 27 ศพ
ต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนแล้ว 19 ศพ เหลืออีก 8 ศพ อยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องให้ศาลไต่สวนต่อไป ซึ่งคดีแรก นายพัน คำกอง ศาลนัดอ่านคำสั่งในวันที่ 17 กันยายน 2555 สาระสำคัญที่ศาลจะสั่งคือ จะระบุว่าผู้ตายชื่ออะไร ตายที่ไหน สา เหตุอะไรทำให้ตาย และที่สำคัญคือ ใครทำให้ตาย
นายธาริตยังกล่าวว่า หลังจากศาลมีคำสั่งวันที่ 17 กันยายนแล้ว คำสั่งพร้อมสำนวนของศาลจะถูกส่งกลับมายังดีเอสไอ จากนั้นดีเอสไอจะนำมาประ กอบสำนวนที่ทำไว้เดิม โดยจะรวบรวมเป็นสำนวนหลัก ซึ่งในสำนวนจะมีทั้งสำนวนฆาตกรรม ใครผิดใครถูก จะต้องฟ้องใครหรือไม่ฟ้องใคร และดีเอสไอจะเดินหน้าทำคดีต่อไป นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังมีมติให้ส่งคดีไปยัง บช.น. เพราะมีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มอีก 9 ศพ โดยเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ดีเอสไอส่งสำนวนไปยัง บช.น. แล้ว 3 ศพ และสัปดาห์แรกของเดือนกันยายนส่งเพิ่มอีก 6 ศพ ดังนั้น มีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น 36 ศพ
ส่วน พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และประชาชน กล่าวถึงคำให้การของพยานบุคคลที่เป็นผู้บาดเจ็บในพื้นที่ใกล้เคียงและวันเวลาใกล้กับคดีที่มีการเสียชีวิต ซึ่งได้ให้การยืนยันว่ามีกระสุนยิงมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานประกอบสำนวนว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตถูกทำลายด้วยอาวุธและกระสุนประเภทเดียวกัน
ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. ดูแลงานกฎหมายและสอบสวน เปิดเผยความคืบหน้าคดีชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่ดีเอสไอส่งมาให้ทำสำนวนชันสูตรว่า ทำเสร็จสิ้นแล้ว 20 สำนวน และส่งให้อัยการพิจารณาเพื่อให้ศาลไต่สวนเรียบร้อยแล้ว เหลืออีก 3 สำนวนที่กำลังสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากคดียังไม่ชัดเจนว่าการเสียชีวิตเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือไม่ ประกอบด้วยคดีของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นายสยาม วัฒนนุกูล และนายจรูญ ฉายแม้น และเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ดีเอสไอส่งสำนวนการเสียชีวิตให้ บช.น. ชันสูตรพลิกศพอีก 2 รายคือ นายพรสวรรค์ นาคะไชย และนายมานะ แสนประเสริฐศรี ส่วนกรณีที่ดีเอสไอแถลงว่าส่งมามากกว่านี้ คาดว่าคงทยอยส่งตามมาในไม่ช้า

ปริศนา 2 พลซุ่มยิง

การสอบสวนที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ส.อ.ศฤงคาร ทวีชีพ และ ส.อ. คชารัตน์ เนียมรอด สังกัด ม.พัน 5 ที่ทำหน้าที่พลเฝ้าระวังบนอาคารร้างหน้าสนามมวยลุมพินีช่วงการ “กระชับพื้นที่” เดือนพฤษภาคม 2553 ได้เข้าให้ปากคำกับ พ.ต.อ.ประเวศน์ถึงการปฏิบัติหน้าที่หลังมีภาพทั้งสองใช้ปืนยาวติดลำกล้องเล็งไปทางชุมชนบ่อนไก่ หลังการให้ปากคำกว่า 6 ชั่วโมง พ.ต.อ. ประเวศน์เปิดเผยว่า ได้สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้อาวุธตามภาพที่ปรากฏ ซึ่ง ส.อ.ศฤงคารและ ส.อ.คชารัตน์ในฐานะพลทหารซุ่มยิงบอกว่าเป็นปืนเอ็ม 16 ไม่ใช่สไนเปอร์อย่างที่เข้าใจ ส่วนลำกล้องเป็นลำกล้องของปืนบีบีกันที่นำมาติดภายหลัง โดยทั้งสองยอมรับว่าได้ปฏิบัติหน้าที่บริเวณบ่อนไก่ในวันที่ 15 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับหน่วยพร้อมแจ้งเตือน และในวันนั้นได้มีการยิงขู่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยกระสุนที่ใช้เป็นกระสุนยาง ซึ่งพนักงานสอบสวนอาจทำเรื่องขอปืนกระบอกดังกล่าวไปตรวจสอบอีกครั้ง
   “ยืนยันว่าจะเร่งทำสำนวนการสอบสวนคดีนี้ให้เสร็จโดยเร็ว และจะส่งสำนวนไปยังกองบัญชาการตำ รวจนครบาลเพื่อประกอบสำนวนการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม บริเวณบ่อนไก่และงามดูพลี” รองอธิบดีดีเอสไอ ระบุ
นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงคำให้การของ 2 พลซุ่มยิงที่ระบุว่าใช้กระสุนยางหรือกระสุนซ้อมยิงขู่ผู้ชุมนุม ไม่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บและเสียชีวิต ว่าหากเป็นกระสุนปลอมหรือกระสุนยางของกองทัพจะต้องใช้ปลอกสีส้มหุ้ม แต่ในคลิปที่ปรากฏออกมาไม่มี จึงขอถามไปยังทหารทั้ง 2 นายว่ามีใครเสี้ยมให้พูดหรือไม่ คิดว่าคนไทยโง่หรือถึงพูดแบบนี้ โดย นพ.เหวง นำภาพกระสุนจริงของปืนเอ็ม 16 ที่กองทัพมีเพียง 6 ชนิดเท่านั้นมาแสดงต่อผู้สื่อข่าว โดยระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. จะกล้าเถียงหรือไม่ว่ากองทัพมีกระสุนจริงของปืนเอ็ม 16 มากกว่า 6 ชนิด หากมีการใช้กระสุนปลอมบรรจุในปืนเอ็ม 16 จะต้องมีปลอกหุ้มสีส้มที่ด้ามปืน และบรรจุได้ทีละนัดเท่านั้น
   “ถ้าเป็นกระสุนปลอมจะต้องใส่ทีละนัด แต่ในคลิปแสดงให้เห็นชัดๆว่ายิงรัว และมีทหารพูดอีกด้วยว่า ล้มแล้วๆ แสดงให้เห็นว่าที่ไปให้การกับดีเอสไอนั้นไม่จริง ในเมื่อภาพมันฟ้อง ผมอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ออกมาพูดความจริงได้แล้ว ไม่มีกระสุนปลอมหรือกระสุนยาง ผมก็รักกองทัพเหมือนกัน ขอให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพอย่าทำลายกองทัพด้วยการโกหก” นพ.เหวง กล่าว
ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ออกมาแถลงกรณีดีเอสไอจะทำหนังสือถึงกองทัพบกขออาวุธปืนเอ็ม 16 มาตรวจสอบ ภายหลัง 2 พลแม่นปืนให้ปากคำว่าปืนที่ปรากฏในภาพไม่ใช่ปืนสไนเปอร์ แต่เป็นปืนเอ็ม 16 และใช้กระสุนซ้อมยิงว่า ดีเอสไอต้องทำตามขั้นตอนของกฎหมาย และมีสิทธิจะร้องขออาวุธยุทโธปกรณ์ไปตรวจสอบตามหน้าที่ ส่วนที่ดีเอสไอไม่เชื่อคำให้การของ 2 นายทหารที่ชี้แจงว่าใช้กระสุนซ้อมยิงขู่ผู้ชุมนุมก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ตนไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุขณะนั้นคงไม่สามารถให้ความเห็นได้ เพราะมีเพียงภาพที่เป็นคลิปบันทึกการปฏิบัติงานของนายทหารทั้ง 2 นาย ไม่ปรากฏหลักฐานว่ายิงไปแล้วมีคนล้มหรือบาดเจ็บจากการกระทำดังกล่าว

“สุเทพ” หวั่นดีเอสไอตั้งธง

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวถึงดีเอสไอที่เตรียมสรุปผลการสอบสวนกรณีการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 เพื่อแถลงต่อสาธารณะว่า อยากฝากถึงดีเอสไอว่าจะต้องทำหน้าที่อยู่บนความเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมา เพราะจากการเข้าให้ปากคำรองอธิบดีดีเอสไอในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ทำให้รู้สึกกังวลใจว่าดีเอสไอมีธงอยู่ในใจว่าจะสรุปผลสอบอย่างไร ก่อนหน้านี้ดีเอสไอเคยสรุปสำนวนคดีก่อการร้ายซึ่งมีผู้ต้องหารวม 26 คน มีการบันทึกผลการสอบสวน คำให้การของพยานทั้งหมด ส่งไปยังอัยการจนมีคำสั่งฟ้องศาลไปแล้ว และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ดังนั้น ถ้าดีเอสไอแถลงไม่ตรงกับหลักฐานหรือสำนวนที่เคยทำไว้จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของดีเอสไอจนเกิดความเสียหายกับหน่วยงานได้
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอเพื่อให้ปากคำในฐานะพยานฝ่ายการเมืองผู้รับผิดชอบ โดยนายสุเทพให้ปากคำนานถึง 13 ชั่วโมง ยอมรับว่าเป็นผู้สั่งการ แต่ปฏิเสธว่าไม่เคยสั่งให้ยิงหรือฆ่าผู้ชุมนุม ยืนยันว่าการชุมนุมมี “ชายชุดดำ” ที่เป็น “ผู้ก่อการร้าย” มีอาวุธสงครามทั้งเอ็ม 16 อาก้า เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ระเบิดมือแบบขว้าง “เอ็ม 67” เตรียมการมาเพื่อก่อเหตุร้าย
นายสุเทพกล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ว่า ขณะนั้นมีภารกิจมากจึงได้มอบหมายคำสั่งในเชิงนโยบาย แต่ตนในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นผู้พิจารณาว่าจะแก้ไขสถานการณ์ในขณะนั้นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องงานใน ศอฉ. ทุกคำสั่งใน ศอฉ. ตนเป็นผู้ลงนาม
รายงานข่าวระบุว่า ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพได้ให้ปากคำอย่างระมัดระวัง จะอธิบายแต่เฉพาะเรื่องที่เตรียมมาเท่านั้น คำถามที่นอกเหนือคำตอบที่ตระเตรียมมาจะตอบว่าไม่รู้ไม่เห็น เพราะไม่ได้ออกไปสังเกตการณ์เองภายนอก หรือเป็นไปตามมติของคณะกรรมการ ศอฉ. ที่มีทั้งผู้นำกองทัพ นายตำรวจ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งนายสุเทพเหมือนบอกเป็นนัยว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบคำสั่งของ ศอฉ. เช่นกัน
นอกจากนี้นายสุเทพได้ปราศรัยที่นครสวรรค์เมื่อวันที่ 1 กันยายนว่า ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าไปกดดันเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เหมือนที่ทำในปี 2552 และประกาศชัดเจนว่าไม่ให้ใช้อาวุธ ให้ใช้เฉพาะโล่ กระ บอง แก๊สน้ำตา ถ้าจำเป็นให้ใช้ปืนลูกซองยิงทีละนัด และเป็นกระสุนยางเพื่อยับยั้งแก้ไขสถานการณ์
ส่วนวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปยึดสวนลุมพินี ควบคุมพื้นที่สวนลุมพินีไม่ให้ฝ่ายผู้ก่อการร้ายใช้เป็นฐานซ่องสุมอาวุธผู้คนออกไปก่อการร้าย ทำร้ายประชาชน และทำร้ายประเทศชาติ แกนนำ นปช. จึงยอมยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัว แต่กว่าจะจบลงเกือบ 2 วันหลังจากนั้น เพราะมีสถานที่ราชการถูกเผาหลายสิบแห่ง บริษัทห้างร้านของเอกชนวอดวายไปมาก มาย ศาลากลางจังหวัดถูกเผา 4 แห่ง และมีเหตุฆ่าคนตายในวัดปทุมฯอีก 6 ศพหลังจากสลายการชุมนุมไปแล้ว

โกหกสีขาวกับตอแหลหลากสี

แม้การสอบปากคำคดี 98 ศพขณะนี้จะยังมีการตอบโต้กันอย่างดุเดือดทุกประเด็น แต่อย่างน้อยการสอบสวนของดีเอสไอและตำรวจก็ทำให้สังคมไทย “ตาสว่าง” ว่าใครคือ “ผู้สั่งการ” ใครที่มี “อำนาจ สูงสุด” ซึ่งไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบการเสียชีวิตของ เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนได้ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด
อย่างที่นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนไทยค่อนประ เทศ “ตาสว่าง” แล้ว รู้ว่าใครเป็นผู้สั่งฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์ ทำไม 2 ปีที่ผ่านมาคดีไม่คืบหน้า ทำไม 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีการเยียวยา รัฐบาลชุดนี้เริ่มดำเนินการเรื่องนี้ แต่กองทัพก็แสดงอาการร้อนรน โดยอ้างว่าทหารใช้กระสุนยาง ประชาชนจึง “ตาสว่าง” ด้วยเหตุนี้
   “ตอนนี้ประชาชนก้าวข้ามจาก “ตาสว่าง” ไปสู่ “ตาทิพย์” มองทะลุถึงต้นตอของปัญหาในขณะนี้ คนที่เกิดมาอย่างยากจนไม่ใช่ “ความผิด” ของเขา แต่คนที่ เสียชีวิตอย่างยากจนถือเป็น “ความผิด” ของรัฐบาล”
โดยเฉพาะการสอบสวน 36 ศพที่ดีเอสไอระบุว่าเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ แม้ผู้รับผิดชอบ ศอฉ. ขณะนั้น ไม่ว่านายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ หรือผู้นำกองทัพ ยังปากแข็งว่าไม่มีคำสั่งให้ยิงหรือฆ่าประชาชน เพราะใช้กระสุนยางหรือกระสุนซ้อม แต่ป้ายที่ติดประจานไปทั่วโลกว่า “พื้นที่การใช้กระสุนจริง (Life Firing Zone)” ทั้งที่มีการยิงจริงและตายจริงจนยากจะปฏิเสธความจริงได้
แม้แต่กระสุนซ้อมที่ใช้ยิงผู้ชุมนุมก็มีความรุนแรงไม่ต่างกับกระสุนจริง หากยิงโดนจุดสำคัญของร่างกายก็ตายเหมือนกัน ซึ่งขณะนั้นในวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการองค์กรสิทธิมนุษยชน “ฮิวแมน ไรท์ วอทช์” ประจำกรุงนิวยอร์ก ก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิก “พื้นที่การใช้กระสุนจริง” ว่าเสี่ยงต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายภายใต้กฎของสหประชาชาติ และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะจะทำให้ทหารคิดอย่างตื้นๆว่าเขตใช้อาวุธจริงคือเขตยิงกระสุนได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะเมื่อความรุนแรงขยายตัว ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตชุมชนชาวบ้าน มีชาวต่างชาติเห็นทหารยิงกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินถือธงชาติเข้ามา และมีร่างไร้ชีวิต 3 ราย นอนอยู่ในบริเวณเขตใช้กระสุนจริง
ล่าสุดศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 ได้เผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเหตุ การณ์การปราบปรามประชาชนในเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ชื่อ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม” เป็นหนังสือหนาถึง 1,390 หน้า ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 94 คน ทั้งหมดเสียชีวิตจากกระสุนปืน 88 คน ถูกยิงที่ศีรษะ 32 คน ในจำนวนนี้เป็นอาสาสมัครหน่วยกู้ชีพและพยาบาล 6 คน ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ 2 คน ผู้บาดเจ็บ 1,283 คน กองทัพเบิกกระสุนไป 597,500 นัด ส่งคืน 479,577 นัด เท่า กับใช้กระสุนในการปราบปราม 117,923 นัด มีการจับกุมประชาชนดำเนินคดีทั่วประเทศ 1,857 คน และสรุปการสลายการชุมนุมครั้งนี้ว่า “อำพราง อัปลักษณ์ และอำมหิต”
เหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตจึงไม่ต่างกับวาทกรรม “White Lie” ที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้โจมตีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยิ่งกว่าเป็นฆาตกร เพียงเพราะโกหกตัวเลขการประเมินการส่งออกสูงกว่าความเป็นจริง ในขณะที่นายกิตติรัตน์ยอมรับว่าผิดจริง แต่มีเจตนาที่ดีกับบ้านเมือง ซึ่งหากสังคมไทยเชื่อว่าการโกหกของนายกิตติรัตน์เป็นความผิดร้ายแรงและต้องออกจากตำแหน่งทั้งเป็นความผิดที่เบาหวิว เมื่อเทียบกับคำพูดของนักการเมือง ข้าราชการ และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ ที่ส่วนใหญ่ล้วนเคยโกหกสารพัด คงต้องพิจารณาตัวเองลาออกเกือบทั้งบ้านทั้งเมือง
โดยเฉพาะคดี 98 ศพที่เป็นการฆ่าอย่างเลือดเย็นอำมหิตและมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ฆาตกรและผู้ร่วมกระทำผิดก็โกหกตอแหลอย่างหน้าตาเฉย ขนาดที่มีภาพเผยแพร่ไปทั่วโลกที่ทหารถือป้ายนำไปติดประกาศว่า “พื้นที่การใช้กระสุนจริง” แต่กลับปฏิ เสธหน้าตาเฉยว่าเป็นเพียงแค่ “กระสุนยาง” เพื่อให้เข้าใจไปว่าไม่ได้ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม
“กล้ายิง แต่ไม่กล้ายอมรับ” อีกทั้งยังมีความพยายามบิดเบือนจาก “กระสุนจริง” ไปเป็น “กระสุนยาง-กระสุนซ้อม-กระสุนปลอม” ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การโกหกด้วยคำพูด แต่พิสูจน์ชัดด้วย “ป้ายประกาศเขตการใช้กระสุนจริง” และ “คนตายของจริง” ที่เริ่มปรากฏออกมาแล้วว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐในยุคที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง
“White Lie” หรือ “โกหกสีขาว” ของนายกิตติรัตน์จึงไม่อาจร้ายเท่า “Blue Lie-Green Lie-Yellow Lie” หรือ “ตอแหลหลากสี” ที่มีเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง
“ยิงจริง-ตายจริง...จากกระสุนไม่จริง” จึงเป็นโศกนาฏกรรมภายใต้ “ตอแหลแลนด์” ที่หน้าด้านและอัปยศที่สุด !