ทีมข่าว นปช.
4 กันยายน 2555
วันนี้ (4 ก.ย. 55) ห้อง 801 เวลา 10.30 น. ศาลอาญา (ถ.รัชดาภิเษก) นัดไต่สวนคำร้องขอประกันตัว ยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) โดยมี อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ, นพ.เหวง โตจิราการ, วิภูแถลง พัฒนภูมิไท, นิสิต สินธุไพร และ กรุณา มอริส (ภรรยาของ ยศวริศ ชูกล่อม) ร่วมให้กำลังใจ
ยศวริศ ให้การว่า 2 สัปดาห์ที่ตนเองต้องอยู่ในเรือนจำรู้สึกยากลำบาก ตลอดเวลาได้ทบทวนตนเอง และได้รู้สึกสำนึกผิดแล้ว และสัญญาว่าจะไม่กระทำการล่วงละเมิด กม. หรือผู้ใดอีก จะระมัดระวังตนเองมากขึ้น โดยตนเองจะยอมรับ และปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลทุกประการ
ก่อนหน้านี้ตนเองเคยขอโทษการกระทำดังกล่าวที่หน้ารัฐสภา และเป็นที่รับรู้ไปทั่วแล้ว หากศาลอนุญาตให้ประกันตัวอีกครั้ง ตนเองก็ยินดีที่จะทำหนังสือขอโทษตุลาการ รธน. ทั้ง 7 คนอย่างเป็นทางการ และจะให้คำมั่นต่อตุลาการ รธน. ทั้งคณะว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว หรือกล่าวโทษใดๆอีก ทั้งนี้ตนเองสัญญาว่า จะระมัดระวังการกระทำไม่ให้ละเมิด หรือหมิ่นผู้ใดอีก
ตนเองเป็นเลขานุการของ รมช.มหาดไทย มีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติงานดูแลทุกข์สุขของประชาชน อีกทั้งตนเองยังมีครอบครัว ลูกของตนเองกำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ภรรยาของตนเองไม่ได้ประกอบอาชีพ ไม่มีรายได้ แต่ครอบครัวมีค่าใช่จ่าย หากศาลต้องการเรียกหลักประกันเพิ่มจากเดิม 600,000 บาทก็ได้
ตนเองไม่ทราบมาก่อนว่าจะมี พล.อ.ประชา พรหมนอก (รมว.ยุติธรรม) มาช่วยรับรองความประพฤติของตนเอง นอกจากนี้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ (รองนายกรัฐมนตรี) ก็จะมาช่วยรับรองความประพฤติด้วย แต่เนื่องจากเขาติดภารกิจ จึงไม่สามารถมาได้ ตนเองรู้จักกับทั้ง 2 คนมาอย่างยาวนาน
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ (ผู้ร้องคัดค้าน) ให้การในฐานะผู้ร้องคัดค้านว่า ตนเองจะขอยื่นคำร้องคัดค้านเพิ่มเติม ทั้งนี้ตนเองเห็นว่า จำเลยที่ 7 ถูกควบคุมตัวในระยะเวลาอันสั้น และไม่มีเหตุอันใดให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง อีกทั้งจำเลยที่ 7 ได้รับการปฏิบัติดูแลอย่างดีต่างจากคนทั่วไป มีการร้องคาราโอเกะด้วย
การไต่สวนครั้งที่ผ่านมา ฐานิสร์ เทียนทอง (รมช.มหาดไทย) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยที่ 7 มาให้การรับรองความประพฤติ และมี พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว (รอง ผบก.น.1) และ จรินทร์ สวนแก้ว (ประธานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช) มาให้การรับรองความประพฤติด้วยเช่นกัน แต่การไต่สวนครั้งนี้ รมว.ยุติธรรม ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจำเลยที่ 7 จึงมีน้ำหนักน้อยกว่า ดังนั้นตนเองจึงเห็นว่า คำสั่งเพิกถอนการประกันตัวของศาลชอบด้วยเหตุผล
ก่อแก้ว พิกุลทอง (จำเลยที่ 5) ก็ถูกยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการประกันตัวเช่นกัน แต่ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนการไต่สวนดังกล่าวไปเป็นวันที่ 29 พ.ย. นี้ ดังนั้นหากศาลเห็นชอบการอนุญาตให้ประกันตัวชั่วคราวแก่จำเลยที่ 7 อีก ตนเองก็คงจะขอถอนคำร้องดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าไม่มีประโยชน์ เพราะหากอนาคตศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนประกันตัวก่อแก้วแล้ว แต่มี รมว.ยุติธรรม มาให้การรับรองความประพฤติ ศาลก็ต้องอนุญาตให้ประกันตัวอีก ตนเองจึงเห็นว่า จะเป็นผลเสียต่อกระบวนการยุติธรรม
นอกจากนี้จำเลยที่ 7 ยังโดนข้อหา ม.112 ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาจำเลยที่ 7 ให้การรับสารภาพ แต่พอถึงวันพิพากษาจำเลยที่ 7 กลับตัดสินใจถอนคำสารภาพ จนต้องเลื่อนการสืบพยานใหม่มาเป็นปีนี้ ตนเองเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 7 ไม่ใช่ทำเพื่อประเทศไทย แต่น่าจะเป็นการสร้างความวุ่นวายมากกว่า
ตนเองไม่ได้คาดหวังให้จำเลยที่ 7 ถูกคุมขังตลอดไป แต่เห็นว่า ควรอนุญาตให้ประกันตัวในเวลาอันเหมาะสม โดยเหตุผลที่เพียงพอจะอธิบายได้
วิญญัติ ชาติมนตรี (ทนายความของจำเลยที่ 7) ให้การคัดค้านคำให้การของผู้ร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องคัดค้านไม่มีอำนาจยื่นคำร้องคัดค้านดังกล่าวตามประมวล กม. วิ.อาญา ม.108/2 ที่กำหนดให้คู่กรณีสามารถยื่นคัดค้านการประกันตัว เมื่อเห็นว่า พยานสำคัญในคดีอาจได้รับภัยอันตรายเท่านั้น
ส่วนการที่ผู้ร้องคัดค้านอ้างเรื่องระยะเวลาการถอนประกันครั้งนี้สั้นเกินไปนั้น ตนเองเห็นว่า ระยะเวลาในการควบคุมตัวนั้นเป็นดุลพินิจของศาล ศาลมีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยตามกรอบของ รธน. ม.40 (7) ดังนั้นการที่ผู้ร้องคัดค้านอ้างเรื่องระยะเวลาสั้นเกินไปนั้นถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล
ในการไต่สวนครั้งก่อนฐานิสร์ให้การรับรองความประพฤติของจำเลยที่ 7 แต่ พ.ต.อ.ไกรเลิศ ให้การในส่วนของข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ ไม่ใช่การรับรองความประพฤติของจำเลยที่ 7 แต่อย่างใด ทั้งนี้การที่ พล.ต.อ.ประชา มาให้การรับรองนั้น เป็นการกระทำโดยส่วนตัว เพราะเห็นว่า ตำแหน่งของ พล.ต.อ.ประชา เป็นตำแหน่งที่มีความน่าเชื่อถือ ดังนั้นการที่ผู้ร้องคัดค้านอ้างว่า พล.ต.อ.ประชา ไม่มีน้ำหนักพอนั้น เป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล
ส่วนการที่ผู้ร้องคัดค้านอ้างว่า หากศาลอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยที่ 7 แล้ว ผู้ร้องคัดค้านจะขอถอนคำร้องขอถอนประกันตัวจำเลยที่ 5 นั้น เป็นการใช้จำเลยที่ 7 เป็นตัวประกัน แม้ผู้ร้องคัดค้านจะอ้างว่า มิได้ประสงค์ให้คุมขังจำเลยที่ 7 ตลอดไป แต่ก็เหมือนจะเป็นการกลั่นแกล้ง
ส่วนการที่จำเลยที่ 7 ให้การรับสารภาพในคดี ม.112 ก่อนหน้านี้ และถอนคำสารภาพในเวลาต่อมานั้น เป็นเพราะในวันดังกล่าวจำเลยที่ 7 เกิดการหลงผิด อีกทั้งการถอนคำรับสารภาพก็เป็นสิทธิของจำเลยตาม รธน.
ส่วนการที่ผู้ร้องคัดค้านอ้างว่า จำเลยที่ 7 อยู่อย่างสุขสบายในเรือนจำนั้น สวัสดิการเหล่านั้นล้วนเป็นของราชทัณฑ์ และปัจจุบันทางเรือนจำก็มิได้อนุญาตให้จำเลยที่ 7 ร้องคาราโอเกะอีกแล้ว
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สมควรรับคำร้องเพิ่มเติมของผู้ร้องคัดค้านไว้พิจารณาอีก และนัดให้ฟังคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยที่ 7 ในวันพรุ่งนี้ (5 ก.ย. 55) เวลา 10.00 น.