แบกบาล นักวิชาการต่างสี ชี้ช่องแก้รัฐธรรมนูญ

ประชาชาติธุรกิจ 17 กันยายน 2555 >>>




การประชุมคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อศึกษาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่มี "โภคิน พลกุล" เป็นประธาน ร่วมกับ 3 พรรคการเมือง อันได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา-พรรคชาติพัฒนา-พรรคพลังชล รวมเป็น 11 อรหันต์
ทั้ง 11 อรหันต์ผ่านการประชุมลับคมสมอง เพื่อหาทางออกการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด  5 ครั้ง มีมติตั้งคณะกรรมการย่อยขึ้นมา 1 คณะ เพื่อประชาสัมพันธ์ หวังใช้เสียงบริสุทธิ์การันตีความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่เพียงแค่เสียงสวรรค์ของประชาชนอย่างเดียวไม่อาจสร้าง ความชอบธรรมได้มากมายนัก คณะทำงานพรรคร่วมฯจึงเชิญ "กูรู" จากแวดวงวิชาการต่างขั้ว ต่างสี ต่างความคิด มาเป็น "กุนซือ" ให้ความเห็นแบบรอบด้านต่อหน้า 11 อรหันต์ด้วย
นักวิชาการ 5 คน ที่ถูก 11 อรหันต์ร่อนจดหมายเชิญ ประกอบด้วย
1. โคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล
2. วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
3. รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล นักวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4. ดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ
5. ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
แม้ทั้ง 5 คน ต่างขั้ว ต่างสีต่างความคิด แต่เมื่อถูก 11 อรหันต์เชิญตัวมาให้ความเห็นที่พรรคเพื่อไทย หรือพรรคชาติไทยพัฒนา ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธ
"โคทม" เป็นคนแรกที่จะมาให้ความเห็นในวันที่ 17 พ.ย. บอกผ่าน "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ความเห็นที่จะเสนอคือแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่แนวคิดสู่กระบวนการ ร่าง จนถึงประกาศใช้
   "ที่จะบอกคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรามันดูเห มือนยึกยัก และยังส่งผลต่อมาตราเก่า ทำให้ไม่มีความสอดคล้องยึดโยงกัน เป็นบทบัญญัติที่ไม่สมบูรณ์"
   "อาจเสนอแนะว่าพรรคเพื่อไทยควรเปลี่ยน จากวิกฤตที่มีการทะเลาะกัน ให้มาเป็นโยบายร่วมกันของประชาชน ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นร่างรัฐธรรมนูญที่เกิดจากสปิริตร่วมกันของทุกฝ่าย"
   "ส่วนเรื่องข้อขัดแย้งกัน เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็นำสิ่งที่ขัดแย้งเหล่านั้นมากำหนดในคำปรารภว่า การแก้ไขจะต้องไม่ไปแตะส่วนนั้น"
"โคทม" กล่าวว่า ขอเสนอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการศึกษาและยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ก.ก.ร. ขึ้นมาเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จากนั้นเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และชงเข้าสู่การพิจารณาของสภา ไม่จำเป็นต้องมี ส.ส.ร.
   "เมื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ก.ก.ร. ผ่านการพิจารณาในวาระ 2 ก็พักไว้ แล้วให้มีการทำประชามติถามประชาชนว่าคิดเห็นอย่างไร หากประชาชนเห็นด้วยก็นำมาสู่การลงมติในวาระ 3 เมื่อผ่านวาระ 3 ก็นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯให้ลงพระปรมาภิไธย"
   "ส่วนวิธีการ คัดเลือก ก.ก.ร. ถ้าชอบการเลือกตั้งก็ให้มีการเลือกตั้ง ก.ก.ร. ทางอ้อม แทนการเลือกตั้งทางตรงที่ต้องสูญเสียเงินในการจัดเลือกตั้ง 2 พันล้านบาท โดยให้ตัวแทนที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน เช่น นายก อบต. นายกเทศมนตรี นายก อบจ. ส.ส. และ ส.ว. มาเลือก ก.ก.ร. แทนประชาชน" นายโคทม กล่าว
ด้าน "ดิเรก" ในฐานะที่เคยเป็นอดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและ ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยมีข้อสรุป 6 ประเด็น เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ยืนยันว่าจะเสนอแนวคิดทั้ง 6 ประเด็นให้ 11 อรหันต์ทบทวนอีกครั้ง ทั้ง 6 ประเด็นของ "ดิเรก" ประกอบด้วย
1. มาตรา 237 ยกเลิกการยุบพรรค และให้เพิกถอนสิทธิเฉพาะผู้สมัครที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
2. มาตรา 93-98 ที่มาของ ส.ส. ให้ใช้ระบบเขตละคนและบัญชีรายชื่อ เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540
3. มาตรา 111-121 ที่มาของ ส.ว. ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
4. มาตรา 190 ให้กำหนดประเภทหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
5. มาตรา 265 ให้ ส.ส. ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ อาทิ ที่ปรึกษารัฐมนตรี
6. มาตรา 266 การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนของ ส.ส.และ ส.ว. ให้ ส.ส. และ ส.ว. เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาของประชาชนผ่านส่วนราชการได้
ส่วนความเห็น ที่คณะทำงานพรรคร่วมฯ อยากได้คำตอบจาก "ดิเรก" คือ คำแนะนำของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ทำประชามติก่อนลงมติวาระ 3 นั้น ผูกพันต่อองค์กรอื่นหรือไม่ เขาตอบว่า "ไม่ผูกพันกับองค์กรอื่น เพราะเป็นเพียงคำแนะนำ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ศาลยุติธรรม ไม่ได้ตัดสินในพระปรมาภิไธย ดังนั้น พรรค การเมืองจะทำตามก็ได้ ไม่ทำตามก็ได้ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องพิจารณา"
   "การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ ที่ผ่านมารัฐบาลแก้ไขมาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร. เท่านั้น ยังไม่ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เพราะมีที่มาไม่ชอบ จึงต้องลบคำว่ามาจาก คมช. ออกไป เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่มาจากคนเพียงกลุ่มเดียว"
ความเห็นของทั้ง 2 คน "โคทม-ดิเรก" จะถูกฉายภาพเต็มอีกครั้งในที่ประชุม เพื่อให้ 11 อรหันต์ได้รับฟัง-ซักถาม
กรอบเวลาหลังจากรับฟังผู้ให้ความเห็นคนสุดท้ายเสร็จสิ้นในวันที่ 1 ตุลาคม ฝ่ายเลขานุการของคณะทำงานจะนำความเห็นของนักวิชาการทั้ง 5 คน รวมกับความเห็นของประชาชนที่ส่งเข้ามา นำมาเขย่ารวมกันเพื่อไปทำเป็นบทสรุป ก่อนส่งให้ทั้ง 4 พรรคการเมืองไปพิจารณากันในพรรคแบบพรรคใคร-พรรคมันอีกครั้ง มีเวลาจนเกือบสิ้นสุดสมัยประชุมสภาทั่วไปในปลายเดือนพฤศจิกายน
จากนั้น 11 อรหันต์ ก็จะนำความเห็นของพรรคตนเองกลับมาสู่วงประชุมคณะทำงานพรรคร่วมฯ อีกครั้ง เพื่อกำหนดท่าทีต่อไป
แหล่งข่าวจาก 11 อรหันต์พรรคเพื่อไทยบอก เทคนิคว่า "กระบวนการที่ทำควบคู่กันไปกับการทำงานของคณะทำงาน 11 คน คือการให้ ส.ส. ของพรรคลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชน บวกกับการจัดเสวนาของกระทรวงมหาดไทย หลังจากนี้ เมื่อกระแสตอบรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเพียงพอทำให้เกิดความชอบธรรม คณะทำงานก็อาจตัดสินใจให้กระบวนการในสภา เดินหน้าลงมติในวาระ 3 ทันที โดยไม่ต้องฟังคำแนะนำจากศาลรัฐธรรมนูญเลยก็ได้"
ไม่ว่าความเห็นของ นักวิชาการทั้ง 5 คนที่มาให้ข้อมูลกับ 11 อรหันต์จะเป็นอย่างไร แต่ภายในเดือนพฤศจิกายนก็อาจจะเห็นเค้าลางชัดเจนว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะตัดสินใจอย่างไรกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ คมช.