โลกวันนี้ 11 กันยายน 2555 >>>
เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการ ศปช. หรือที่มีชื่อเต็มว่า “ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53” ได้เผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงเหตุการณ์การปราบปรามประชาชนในเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553 โดยใช้ชื่อว่า “ความจริงเพื่อความยุติธรรม” เป็นหนังสือหนาถึง 1,390 หน้า พร้อมด้วยซีดีประกอบ นับเป็นรายงานข้อเท็จจริงที่ละเอียดที่สุด และกระทำสำเร็จเป็นฉบับแรกสุดหลังจากเกิดเหตุการณ์กว่า 2 ปี ขณะที่คณะกรรมการหาข้อเท็จจริงชุดอื่น เช่น คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งหมดอายุการทำงานเมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยังไม่มีรายงานลักษณะนี้ และรายงานฉบับของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ยังมีปัญหา เพราะคงจะไม่ผ่านที่ประชุมใหญ่ของคณะกรรมการอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ศปช. ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 โดยกลุ่มนักกิจกรรมร่วมกับนักวิชาการกลุ่มสันติประชาธรรม มีเจ้าหน้าที่ทำงาน 5-6 คน ในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลและสัมภาษณ์พยานผู้ได้รับผลกระทบ ในคำนำของหนังสือได้อธิบายว่า รายงานฉบับนี้ “มีจุดเริ่มต้นจากคนหนุ่มสาวกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถทำใจนิ่งเฉยกับความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชน คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้จึงได้แปรเปลี่ยนความเจ็บปวดต่อความอยุติธรรมให้เป็นความพยายามที่จะรวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” และยังอธิบายด้วยว่า กระบวนการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอที่จะหาตัวผู้กระทำผิดนั้นไม่มีความก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็น
ในรายงานได้สรุปตัวเลขที่น่าสนใจไว้ว่า ประชาชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมมีถึง 94 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิง 6 คน ทั้งหมดเสียชีวิตจากกระสุนปืน 88 คน ถูกยิงที่ศีรษะ 32 คน ในจำนวนนี้มีอาสาสมัครหน่วยกู้ชีพและพยาบาลเสียชีวิต 6 คน ผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิต 2 คน ส่วนตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บคือ 1,283 คน กองทัพเบิกกระสุนไป 597,500 นัด ส่งคืน 479,577นัด เท่ากับฝ่ายกองทัพใช้กระสุนในการปราบปรามถึง 117,923 นัด
พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รายงานฉบับนี้ถือเป็นการบันทึกข้อเท็จจริงความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชน โดยมุ่งหวังว่าในอนาคตการรวบรวมข้อมูลนี้จะสามารถนำไปสู่การสร้างความเป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบและนำคนผิดมาลงโทษได้ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญของคณะทำงานคือ การเข้าไม่ถึงข้อมูลจากภาครัฐ ไม่มีอำนาจในการเรียกเอกสารหรือเจ้าหน้าที่มาให้ข้อมูล แต่ได้มีการรวบรวมข้อมูลเอกสารทางการเท่าที่มีการเผยแพร่และหามาได้ไว้ทั้งหมด รวมถึงหลักฐานจำพวกคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก และส่วนใหญ่ถูกลบไปแล้ว
ในบทความของเกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ รายงานว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. ได้จัดการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่ ถือเป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองตามครรลอง แต่สถานการณ์กลับพาไปสู่ความรุนแรง โดยเริ่มต้นจากการประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 7 เมษายน จากเหตุการณ์ล้อมสภาของกลุ่ม นปช. ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็เป็นการจัดการที่เกินกว่าเหตุ และการใช้กฎหมายนี้นำไปสู่การใช้กำลังของหน่วยทหารจนเกิดความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการประกาศ “ขอคืนพื้นที่” ในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเกิดการปะทะกันในพื้นที่โดยรอบถนนราชดำเนิน และทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 ราย
นอกจากนี้ในรายงานยังกล่าวถึงเรื่อง “ชายชุดดำ” ซึ่งคนเสื้อแดงเห็นว่าเป็นฮีโร่มาช่วยในเวลาที่เพลี่ยงพล้ำ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเห็นว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้นยังไม่มีหน่วยงานใดให้ความชัดเจนได้ และเป็นปริศนาภายในกองทัพเอง ส่วนการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และทหารฝ่ายปราบปราม 5 คน เกิดขึ้นนอกบริเวณการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในรายงานได้เผยข้อเท็จจริงต่อไปว่า การปราบปรามครั้งใหญ่ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 เริ่มต้นจากการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำหนดเส้นตายให้ นปช. ยุติการชุมนุมอย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 12 พฤษภาคม หลังจากนั้นในวันที่ 13 พฤษภาคม รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงฉบับที่ 2 และให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ศอฉ. เริ่มต้นสลายการชุมนุมโดยการ “กระชับวงล้อม” การสังหารหมู่ครั้งใหม่เริ่มต้นโดยการยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เสียชีวิตในวันเดียวกันนั้นเอง จากนั้นจึงมีการสังหารชีวิตประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุม จนถึงการสลายการชุมนุมในเวลากลางวันของวันที่ 19 พฤษภาคม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 56 คน ต่อมามีการสังหารประชาชนที่วัดปทุมวนารามอีก 6 คน และมีผู้เสียชีวิตเพราะติดในตึกเซ็นทรัลเวิลด์อีก 1 คน
ที่น่าสนใจคือในรายงานได้กล่าวว่า เหตุการณ์การสลายการชุมนุมนำมาซึ่งการจับกุมประชาชนดำเนินคดีทั่วประเทศถึง 1,857 คน ซึ่งบางคนไม่ได้ไปร่วมชุมนุมด้วย จากจำนวนทั้งหมดนี้ต่อมาถูกดำเนินคดีถึง 1,763 คน โดยกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ที่มีคดีมากที่สุด รองลงมาคือภาคอีสาน โดยแยกลักษณะการฟ้อง 2 ลักษณะคือ คดีฝ่าฝืนพระราชกำหนดภาวะฉุกเฉิน และคดีที่ฟ้องร่วมกับคดีอาญา มีบางคดีที่ถูกฟ้องร่วมกับคดียาเสพติด ในการดำเนินคดีมีการรวบรัด มีหลายคดีที่ศาลชั้นต้นตัดสินคดีโดยลงโทษจำคุก 1 ปี แล้วจำเลยอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เพราะการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นผิดระเบียบ แต่มีถึง 27 คดีที่ศาลตัดสินจำคุกมากกว่า 10 ปี
มีตัวอย่างหลายคดีพบว่าพยานหลักฐานหลายชิ้นที่ถูกนำมาใช้เพื่ออ้างว่าผู้ต้องหาฝ่าฝืนพระราชกำหนดภาวะฉุกเฉินคือ ตีนตบ ธง นปช. หมวก ผ้าพันคอ พลุ ตะไล เป็นต้น ล่าสุดในขณะนี้ยังมีผู้ที่ติดคุกอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ไม่ได้รับการประกันตัวอีก 22 คน ในรายงานระบุด้วยว่า การใช้กฎหมายภาวะฉุกเฉินส่งผลกระทบต่อกระบวนการดำเนินคดีคือ มีการซ้อม มีการจูงใจให้รับสารภาพ และผู้ถูกดำเนินคดีจำนวนมากไม่มีทนายความช่วยเหลือคดี
บทความของขวัญระวี วังอุดม ได้วิเคราะห์ว่า การสลายการชุมนุมทั้งหมดนี้เป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ไม่สอดคล้องกับกฎการใช้กำลังของกองทัพไทยและหลักสากล กลายเป็นว่าประชาชนผู้เสียชีวิตโดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีอาวุธอยู่ในมือเลย เท่ากับเป็นการใช้กระสุนจริงยิงผู้ชุมนุมที่มีแต่สองมือเปล่า ยิ่งกว่านั้นการใช้พลซุ่มยิงหรือสไนเปอร์ยิงประชาชนก็ไม่ถูกต้องด้วยหลักการสลายการชุมนุม รวมถึงการยิงผู้สื่อข่าวและอาสาสมัครกู้ชีพอย่างไม่มีการแยกแยะ ซึ่งที่มาอย่างหนึ่งของการใช้ความรุนแรงคือ การใช้กฎหมายความมั่นคงจัดการกับการชุมนุมทางการเมืองจนทำให้กลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนขั้นรุนแรง
อีกกรณีที่กล่าวถึงในรายงานนี้คือ การใช้การปฏิบัติการด้านข่าวสารที่สร้างความชอบธรรมแก่การปราบปรามของฝ่ายรัฐบาล เช่น การโฆษณาชวนเชื่อด้วยการสร้างวาทกรรมด้านลบเกี่ยวกับผู้ชุมนุม การโจมตีว่าผู้ชุมนุมเป็นสมุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้น่าสงสารไร้การศึกษาและถูกหลอกมา จนกระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของการก่อการร้าย และที่ร้ายแรงคือ การโจมตีด้วยข้อหาว่าเป็น “แดงล้มเจ้า” และเพื่อให้สมเหตุผลก็ได้มีการอุปโลกน์ข้อมูลเรื่อง “ผังล้มเจ้า” ออกมาด้วย เมื่อปราบปรามแล้วก็ใช้การบิดเบือนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ ซึ่งต่อมาเป็นที่พิสูจน์ได้ว่าผังล้มเจ้าเป็นเพียงเรื่องกำมะลอ แต่มีผลในการใส่ร้ายป้ายสีแล้วฆ่าคน
ข้อสรุปที่น่าสนใจคือ กรณีการสลายการชุมนุมประชาชนอันนำมาซึ่งการบาดเจ็บ เสียชีวิต และการจับกุมประชาชนจำนวนมากนั้น ถูกอธิบายด้วยคำ 3 คำคือ “อำพราง อัปลักษณ์ และอำมหิต” และเมื่อเวลาขณะนี้ความยุติธรรมก็ยังไม่ได้กลับคืนมาสู่ประชาชน สุภาษิตกฎหมายได้กล่าวว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือการปฏิเสธความยุติธรรม” และที่น่าแปลกใจก็คือ ความยุติธรรมที่มาล่าช้ายังดำเนินต่อไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้ว 1 ปีก็ตาม