ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 21 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลสรุปรายงานคณะกรรมการอิสระและค้นหาความขจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่า อย่ากังวล คิดว่า ตนรับได้ ดังนั้น ทุกคนน่าจะรับได้ ซึ่ง คอป. เป็นคณะทำงานที่สรุปว่า มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ขอให้ทุกคนได้อ่านและทำความเข้าใจอย่างมีสติ ซึ่งทุกคนมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับกติกา ส่วนของตนได้ใช้สติใคร่ครวญทำความเข้าใจกับรายงานของ คอป. ถ้าถามว่า ตนเดือดร้อนหรือไม่ ขอตอบว่า ตนเดือดร้อน แต่ความเดือดร้อนหมายถึงว่าทำอย่างไรให้ลูกน้องสบายใจและมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งไม่ใช้เหตุการณ์ครั้งที่ผ่านมาครั้งเดียว แต่มีภารกิจอีกหลายประการที่ต้องทำต่อไม่ว่าจะเป็นการดูแลชายแดน ภัยคุกคามต่างๆ ซึ่งทั้งหมดได้ทำในกรอบของรัฐบาลทั้งสิ้น แต่ใครจะผิดหรือถูกนั้นต้องไปว่ากันตามกระบวนยุติธรรม
“ไม่ใช่ว่า ผบ.ทบ. ปล่อยลูกน้องเผชิญหน้า เราดูแลกันมาตลอด ส่วนเรื่องการไต่สวนสาเหตุ เพราะมีคนไปร้องว่าได้รับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการไต่สวนดำเนินการตามคำร้องที่มีคนไปร้องว่าทหารทำร้ายประชาชน ซึ่งต้องสอบสวน ส่วนผลที่ออกมาจะใช่หรือไม่ เขาก็เค้นว่าน่าจะเกิด คิดว่าจะต้องไปว่าตามขั้นตอน เพราะต้องนำเสนอไปยังอัยการเพื่อฟ้องศาลต่อสู้คดีอาญา ซึ่งมี 2-3 ศาล อยากให้ว่ากันด้วยเหตุผล ถ้าทะเลาะเบาะแว้งมันไปไหนไม่ออก ผมไม่สนใจว่า ใครจะพูดอย่างไร แต่ยืนยันเคารพกฎหมายและคณะทำงาน ไม่ใช่ใครก็ได้ที่อยู่ในคณะ คอป. ถ้าจะเลือกฟังอันที่เข้าข้างตนเองอันไหนไม่เข้าข้าง ชอบหรือไม่ชอบ คิดว่าไม่ถูกต้อง สำหรับผมฟังได้ทั้งฉบับ จะว่าทหารถูกใครทำร้าย ผมรับได้ แต่ต้องอยู่คนละขั้นตอน ถ้าเอาข้างใดข้างหนึ่งหรือตอนใดตอนหนึ่งจะเกิดความขัดแย้ง คิดว่า ไม่เป็นผลดีกับใครและประเทศชาติจะเสียหาย อย่าไปให้ค่าความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ ถ้าคิดว่าอยากทำให้บ้านเมืองไปได้น่าจะปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการ ยิ่งพูดก็ยิ่งขัดแย้งกันมากขึ้น แล้วจะหาที่จบไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
และว่า ส่วนความปรองดองจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ จากการที่ตนได้ติดตามข่าวไม่เห็นว่าใครจะปรองดองกับใคร แต่ละคนเอาในสิ่งที่เข้าข้างตัวเองพูดออกมา ถึงบอกว่าต้องทำแบบที่ตนทำ คือ อยู่ตรงกลางให้ได้ ทั้งที่เป็นผู้เสียหาย และถูกกล่าวหา ในส่วนของทหาร ซึ่งตนยังรับได้ ไม่ใช่เพราะว่ารับได้ที่ตนไม่ต้องถูกดำเนินคดี แต่ที่รับได้เพราะอะไรก็ตามที่เป็นกฎระเบียบของบ้านเมือง น่าจะฟังกันบ้าง ถ้าไม่ฟัง แล้วนำความคิดของตนเองเป็นใหญ่ จะปรองดองกันอย่างไร เราต้องไปหาคนที่ขัดแย้งว่าเป็นใคร พูดคุยและนำกฎหมายมาดูว่า สามารถทำได้แค่ไหนจึงจะปรองดอง และทุกคนต้องทำใจให้ได้เสียก่อน ถ้าทำใจกันไม่ได้ อาจจะเกิดปัญหาต่อไปเรื่อยๆ วันนี้คิดว่า เราน่าจะฟัง คอป. ขนาดไต่สวนข้างเดียว เพราะในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายยังไม่มีการไต่สวนเลย ถ้าตอนนี้ฝ่ายนี้ไม่พอใจแล้วต่อไปข้างหน้าคงจะไม่พอใจอีกแล้วจะทำอย่างไรกัน
เมื่อถึงกรณีที่คอป.ระบุว่ากระสุนของทหารหายไป 1.9 แสนนัด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนั้นทหารเป็นหมื่นคนและหลายกองร้อย ตนจำได้ว่าการนำกระสุนออกมาในตอนนั้น มีการสั่งให้นำไปฝึกซ้อมด้วย โดยนำกระสุนไปแจกและไปซ้อม สาเหตุใดที่เบิกกระสุนจำนวนมาก เพราะเวลาทหารไปไหน ถ้าเบิกอาวุธต้องเบิกกระสุนออกมาด้วยตามอัตรามูลฐาน แต่จะใช้หรือไม่ก็แล้วแต่ผู้บังคับหน่วยจะพิจารณา คำสั่งขณะนั้นตนอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งสั่งไว้ชัดเจนว่าห้ามยิงใส่ประชาชน ยกเว้นป้องกันตัวและขัดขวาง สิ่งทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับประชาชน การใช้กระสุนของทหารขณะนั้นเท่าที่ตนดูในปี 2552 มีการใช้และก็ยิงขึ้นฟ้า พอเขารู้ว่ายิงขึ้นฟ้าไม่ได้ยิงคน ปี 2553 เขาถึงไม่หนี เพราะเขารู้ว่าทหารไม่ยิง ถามว่าถ้ายิงทั้งหมดด้วยกระสุนที่ว่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จะมีคนอยู่ในที่ชุมนุมอีกหรือไม่ อย่าหาว่าตนพูดเข้าข้างทหาร แต่ตนพูดด้วยหลักความจริง เอาความจริงมาพูดกัน
เมื่อถามถึงกรณีศาลอาญาตัดสินว่านายพัน คำกอง เสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหาร โดยเป็นคำสั่งของ ศอฉ. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ยิง เป็นเพียงการคาดการณ์ว่า น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องไปสืบหาคนทำต่อ แต่จะหาได้อีกเมื่อไหร่ไม่รู้ ใครยิงก็ยังไม่รู้ เพราะยังไม่มีใครมาสารภาพ และในบริเวณนั้นก็มีทหารจำนวนมาก ทั้งนี้ ต้องเข้าใจด้วยว่า ขณะนั้นมีปืนของทหารที่หายไป รวมถึงกระสุนที่ผู้ชุมนุมได้ยึดไป ส่วนใครจะเอาไป ตนไม่ทราบและต้องนำคนพวกนั้นมาสอบสวนด้วย อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมมี 3 ศาล ส่วนกรณีของนายพันนั้นยังอยู่ที่ศาลชั้นต้น เหลืออีกสองศาลที่จะต้องต่อสู้กัน ไม่ใช่ว่าตัดสินศาลเดียวและจะติดคุกเลย