รายงานฉบับสมบูรณ์ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ ปรองดองแห่งชาติ ( คอป.) กรกฎาคม 2553-กรกฎาคม 2555 (“รายงานของ คอป.”) ต้องบอกว่าเป็นรายงาน “ตามล่าหาคนชุดดำ” อย่างแท้จริง เพราะ คอป. ตั้งธงว่า ผู้ชุมนุม นปช. มี “กองกำลัง” ของตนเอง แกนนำสนับสนุนให้ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง ตั้งแต่เหตุการณ์ในเดือนเมษายน ไล่มาจนถึงพฤษภาคม เป็นเหตุให้รัฐมีความชอบธรรมในการปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม
เพราะ คอป. ตั้งธงไว้ก่อนแล้ว่า ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง บรรดาบทวิเคราะห์และพยานหลักฐานจึงลำเอียง มุ่งแต่หาจุดผิด มุ่งพิสูจน์ว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงอย่างไรบ้าง ละเลยที่จะกล่าวถึงสภาพส่วนใหญ่ของการชุมนุมกว่าสองเดือนที่เป็นไปโดยสงบ ละเลยที่จะกล่าวถึงการยั่วยุกดดันของฝ่ายทหาร ละเลยการปฏิบัติการทางทหารที่ต้องการเปลี่ยนสภาพพื้นที่ชุมนุมให้เป็นสนามรบ และละเลยที่จะกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่มีมือที่สาม (provocateur) อย่างสิ้นเชิง
ไม่แปลกที่ในรายงานแทบไม่มีการสัมภาษณ์ผู้ชุมนุมหรือแกนนำในลักษณะที่ ให้คุณกับฝ่ายผู้ชุมนุมเลย ไม่มีการแก้ต่าง ให้ความชอบธรรมกับการชุมนุม (แต่กลับมีการแก้ต่างให้ปฏิบัติการที่โหดร้ายของเจ้าหน้าที่) ส่วนใหญ่เป็นการอ้างอิงแหล่งข้อมูลของทางการซึ่งเป็นคู่กรณีหรือเป็นปรปักษ์ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ช่วงเดือนพฤษภาคม
เอาแค่ การใช้คำว่า “กองกำลัง” ไม่ทราบฝ่ายที่เรียกว่า “คนชุดดำ” (หน้า 77) ซึ่งในทางการทหารน่าจะหมายถึงกำลังพลที่มีการจัดตั้ง มีโครงสร้างการบังคับบัญชา และมีการวางแผนระดับหนึ่ง แต่ คอป. ไม่ได้ให้ข้อมูลสนับสนุนทั้งในแง่จำนวน (ที่ระบุอย่างชัดเจนมีในหน้า 97 ที่บอกว่า “พบการปรากฏตัวของคนชุดดำพร้อมอาวุธสงคราม 5 คน”) ในการแง่การจัดตั้ง หรือโครงสร้างการบังคับบัญชา มีแต่อ้างอิงความเชื่อมโยง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ตามความเห็นของ “ผู้สื่อข่าวชาวต่างประเทศ” คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีการอธิบายหลักเกณฑ์หรือรายละเอียดด้านกำลังพลใด ๆ มากกว่านี้
ข้อมูลในส่วนเหตุการณ์ปราบปรามที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 10 เมษายน 2553 กับบทบาทของคนชุดดำ คอป. อ้างอิงแหล่งข้อมูลได้หลากหลายกว่าเหตุการณ์ในช่วงพฤษภาคม อย่างน้อยก็เป็นเหล่งข้อมูลประเภท “ผู้สื่อข่าวชาวต่างประเทศ” บ้าง “ผู้สังเกตการณ์การชุมนุม” บ้าง “ผู้เชี่ยวชาญอิสระนิติวิทยาศาสตร์ด้านอาวุธและกระสุนปืนจากต่างประเทศ” บ้าง นอกเหนือไปจากข้อมูลของรัฐ ซึ่งเป็นคู่กรณีกับผู้ชุมนุมและย่อมมีแนวโน้มไม่ให้การที่เป็นคุณแก่ผู้ ชุมนุม นอกนั้นก็เป็นการระบุลอย ๆ ว่ามีผู้เห็นคนชุดดำปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม น่าสนใจว่าการมีภาพคนชุดดำปะปนกับผู้ชุมนุมแบบนี้ สะท้อนให้เห็นว่า นปช. มีกองกำลังอย่างมั่นคงจริงหรือ
ดังกรณี นายมานพ ชาญชั่งทอง การ์ด นปช. ที่มีภาพใส่ผ้าคลุมหน้าสีดำ (ภาพเจ้าปัญหา) มีบางภาพที่เขาถืออาวุธสงครามซึ่งยึดมาจากทหาร และในตอนแรกสื่อต่าง ๆ รายงานว่าเขานี่แหละเป็นคนชุดดำที่ถืออาวุธ แต่ในรายงานไม่ได้ระบุว่าคอป.ได้สัมภาษณ์ขอข้อมูลจากคุณมานพ หรือสอบสวนข้อมูลในเชิงลึกว่า ตกลงเขาเป็น “คนชุดดำ” หรือเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังจริงหรือไม่ และในรายงานคอป. ก็ระบุเองว่า “จากภาพที่ปรากฏ นายมานพสวมผ้าคลุมหน้าและภาพอื่น ๆ ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ มีผู้ที่สวมผ้าคลุมหน้าอยู่ในพื้นที่ชุมนุมและอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุม” (หน้า 170)
แสดงว่าภาพคนชุดดำที่ปะปนอยู่กับผู้ชุมนุมที่ คอป. นำมาใช้อ้างเพื่อสนับสนุนสมมติฐานว่านปช.ชุมนุมด้วยความรุนแรง อาจเป็นกรณีผู้ชุมนุมที่แต่งกายในชุดดำ และบางคนถืออาวุธที่ยึดเอามาจากเจ้าหน้าที่ อย่างกรณี นายมานพ ซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าเขาใช้อาวุธเหล่านั้นยิงใส่เจ้า หน้าที่ ( คอป. ก็ไม่ได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้) กระทั่งทุกวันนี้นายมานพยังขี่ซาเล้งขายของเก่าอยู่เลย
ในรายงาน คอป. นอกจากการระบุอย่างเลื่อนลอยว่าพบคนชุดดำที่นี่บ้าง ที่นั่นบ้าง และบางที่ก็ระบุว่ามีการยิงอาวุธใส่เจ้าหน้าที่ แต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน ถ้ามีจริง ก็ควรยกเป็นกรณีตัวอย่างโดยละเอียดสักกรณีหนึ่ง เพื่อให้ทราบว่าคนชุดดำมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นใคร มีการจัดระดมพล และฝึกฝนกันอย่างไร งบสนับสนุนมาจากไหน ฯลฯ
กรณีที่ คอป. เอาภาพถ่ายและการพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญอิสระนิติวิทยา ศาสตร์ด้านอาวุธและกระสุนปืนจากต่างประเทศ มายืนยัน อย่างเช่นภาพในหน้า 99 ภาพที่เขียนว่า “Figure 8 คำบรรยายภาพในภาษาอังกฤษระบุว่า ”บุคคลในภาพถือวัตถุที่ไม่อาจจำแนกได้ มีเพียงข้อกล่าวหาว่าเป็นเครื่องยิงระเบิด” ส่วนภาพ “Figure 9” ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นภาพเงาของวัตถุที่จำแนกไม่ได้เปรียบเทียบกับภาพของเครื่องยิงระเบิด M79 ซึ่งในคำบรรยายระบุว่า “สืบเนื่องจากความขุ่นมัว (grain) ของภาพและมุมของเงาสะท้อนที่ปรากฏบนรถยนต์ ทำให้ไม่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นวัตถุอะไร” (The grain of the picture and the that the shadow is cast at a certain angle on the car preclude any positive identification.)
ไม่เข้าใจว่า คอป. เอาหลักฐานที่มัว ๆ ซัว ๆ แบบนี้มายืนยันกองกำลังของนปช.ได้อย่างไร ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญยังระบุไม่ได้ว่ามันเป็นวัตถุอะไรด้วยซ้ำ (แต่ในคำบรรยายภาษาไทย คอป.ระบุว่า “ภาพที่ 1 ภาพคนชุดดำถืออาวุธที่มีรูปร้างคล้ายเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79” (ทั้ง ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญที่คอป.จ้างมาวิเคราะห์ระบุว่าเป็น “unidentified object”)
ที่สำคัญภาพเกือบทุกภาพที่ประกอบในรายงานเป็นภาพที่ คอป. ระบุเองว่า “ไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของภาพได้ ภาพดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่และนำไปใช้อย่างแพร่หลายโดยฝ่ายต่างๆ” ซึ่งทำให้ต้องตั้งถามต่อความชอบธรรมในการเอาภาพเหล่านี้มาเป็นพยานหลักฐาน (admissibility)
ถาม คอป. ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือทำงานด้านกระบวนการยุติธรรมมาก่อนได้ไหมว่า ถ้าคุณเป็นศาลหรืออัยการ คุณจะยอมให้นำภาพที่ไม่ปรากฏที่มาเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาหรือไม่ ???
ส่วนพยานหลักฐานกรณีความเกี่ยวข้องของคนชุดดำช่วงเดือนพฤษภาคม โดยเฉพาะช่วงวันที่ 14 พ.ค. เป็นต้นมา (“กระชับวงล้อม”) เป็นถ้อยคำของพนักงานเจ้าหน้าที่แทบทั้งหมด มีข้อมูลจากแหล่งอื่นน้อยมาก จนยากจะเชื่อถือว่าเป็นความจริง รวมทั้งการที่ทหารอ้างว่ามีการยิงตอบโต้ออกมาจากวัดปทุมฯ
อีกประการหนึ่งในเมื่อข้อสรุปอย่างหนึ่งของ คอป. คือ “การปฏิบัติ การของคนชุดดำมีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างและยกระดับความรุนแรง โดยมีเป้าหมายเพื่อยั่วยุให้ทหารใช้อาวุธกับผู้ชุมนุมและต้องการให้มีการ เสียชีวิตเกิดขึ้น” (หน้า 111)
คำถามคือ ทำไม คอป. ไม่ตั้งสมมติฐานเพื่อพิสูจน์เพิ่มเติมในกรณีที่ “คนชุดดำ” อาจเป็นมือที่สาม (provocateur) ที่แฝงตัวมาในกลุ่มผู้ชุมนุม โดยคนเหล่านี้อาจเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ปลอมตัวมาก็ได้ หรือเป็นฝ่ายอื่นที่ได้รับประโยชน์จากการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายก็เป็นไปได้ เช่นกัน
เพราะทฤษฎีของ คอป. คือ ผู้ชุมนุมผสมกับปฏิบัติการของคนชุดดำยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้มาตรการ ปราบปรามที่รุนแรง ในทางกลับกัน คอป. กลับไม่กล่าวถึงมาตรการของทหารที่เป็นการยั่วยุ หรือเป็นการละเมิดสิทธิบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลซุ่มยิง (sniper) ซึ่งในรายงานระบุแค่มีการพบปลอกกระสุนปืนของพลซุ่มยิง (หน้า 182) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในวันที่ 10 เม.ย. แต่ไม่กล่าวถึงปฏิบัติการในกรณีอื่น ๆ ของพลซุ่มยิง ซึ่งเป็นมาตรการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมาก และมีการใช้อย่างเข้มข้นในช่วงประกาศยุทธการกระชับวงล้อมในเดือน พ.ค. จนเป็นเหตุให้มีการเพิ่มจำนวนของผู้เสียชีวิตขึ้นมากมาย หรือถ้า คอป.มีแก่ใจไปสัมภาษณ์ผู้ชุมนุมสักคน หรืออาสาสมัครพยาบาลที่อยู่ในเหตุการณ์ เชื่อว่ามีหลายคนสามารถยืนยันว่ามีการใช้พลซุ่มยิงถี่มาก ในช่วงท้ายเหตุการณ์ คอป. ละเลยข้อเท็จจริงที่สำคัญตรงนี้ไปได้อย่างไร
หรือในรายงาน คอป. ไม่มีการพูดถึงการประกาศ “พื้นที่ใช้กระสุนจริง” (หรือที่ ศอฉ. ไปเขียนมั่วในภาษาอังกฤษว่า Life Firing Zone ซึ่งควรเป็น Live Firing Zone มากกว่า) ซึ่งน่าจะเป็นมาตรการกดดันหรือปราบปราม และเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ แม้ในรายงานระบุว่าเจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงอยู่บ้าง (หน้า 189) แต่ คอป. ก็แก้ต่างให้เสร็จโดยระบุว่า “เจ้าหน้าที่อธิบายว่าเป็นการตอบโต้คนชุดดำ ซึ่งใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่” ในขณะที่ความเชื่อเรื่องกองกำลังของ นปช. คอป. ก็อ้างอิงข้อมูลส่วนใหญ่ที่เป็นของเจ้าหน้าที่เอง
จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 หรือ (ศปช.) ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุม ส่วนใหญ่ตายเพราะถูกยิง (87%) และส่วนใหญ่อีกเหมือนกันตายเพราะกระสุนเจาะเข้าที่ส่วนบนของร่างกาย (ศีรษะ/คอ 30% หน้าอก 22% ลำตัวถึงเข่า 30%) แสดงให้เห็นว่าทิศทางการยิงกระสุนจริงของเจ้าหน้าที่น่าจะเป็นแนวระนาบ (หรือไม่ก็ยิงจากด้านบน) ไม่ใช่การยิงขึ้นขึ้นฟ้าอย่างที่ ศอฉ. กล่าวอ้างและ คอป. ช่วยสนับสนุน (“การตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนลูกซองยิงไปทางผู้ชุนนุม หลายคนใช้ ปลย. กระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า บางคนมีอาวุธปืนพก แต่ไม่พบว่าเจ้าหน้าที่ยิงปืนในแนวระนาบไปในทิศทางที่ผู้ชุมนุมอยู่” หน้า 95)
หรือกรณีที่ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ยิงปืนในแนวระนาบใส่ผู้ชุมนุม คอป. ก็จะหาเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้ เช่น ระบุว่า “เป็นการปฏิบัติในสถานการณ์คับขันโดยปราศจากผู้บังคับบัญชาเนื่องจากหลายคน ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต” (หน้า 188) “เป็นการตอบโต้คนชุดดำ ซึ่งใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่” (หน้า 189 และ 191)
กรณีทหารยิงเข้าไปในวัดปทุมวนาราม คอป.ก็สามารถอ้างเหตุผลสร้างความชอบธรรมให้เจ้าหน้าที่ได้อีก ตั้งแต่การระบุว่า “โดยในวันที่ 15 พฤษภาคม มีผู้พบเห็นชายฉกรรจ์ แต่งกายในชุดสีดำและลายพรางจำนวนหนึ่งอยู่ภายในวัดปทุมวนารามด้วย” (หน้า 148) ซึ่งได้มาจากการสัมภาษณ์ “อาสาสมัครผู้ประสานงานอิสระเพื่อมนุษยธรรมและนักกิจกรรมด้านสันติวิธี” หรือ ในวันที่ 19 พ.ค. “เวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานนายหนึ่งได้เห็น การ์ดผู้ชุมนุมสองคนถือวัตถุชนิดหนึ่งโดยมีผ้าพันไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นอาวุธปืนยาว เดินบนทางเท้าถนนอังรีดูนังต์ด้านกองพิสูจน์หลักฐาน เมื่อถึงแยกเฉลิมเผ่าได้เลี้ยวขวาไปทางกลุ่มผู้ชุมนุม” (หน้า 149 หมายเหตุ เจ้าหน้าที่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นอาวุธปืนยาว และถ้าเชื่ออย่างนั้นจริง ทำไมไม่จับกุมผู้ชุมนุมทั้งสองคนไว้ล่ะ เพราะตอนนั้นประกาศเลิกชุมนุมนานแล้ว และทหารก็คุมสถานการณ์แถวนั้นไว้ได้) รวมทั้งการตรวจค้นพบอาวุธในวัดจำนวนมาก ภายหลังการชุมนุม ซึ่งเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าหน้าที่จะสร้างพยานหลักฐานเท็จ คอป. ได้ตรวจสอบข้อมูลเจ้าหน้าที่บ้างหรือไม่
ที่สำคัญกรณีที่แม้จะค่อนข้างชัดเจนว่าน่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงและ การกระทำเกินกว่าเหตุของทหาร อย่างการเสียชีวิตของพลเรือนในวัดปทุมวนารามช่วงบ่ายและค่ำของวันที่ 19 พ.ค. คอป. ระบุเพียงว่า “มีการยิงเข้าไปในบริเวณวัดปทุมวนาราม มีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 6 คน คือ นายสุวัน ศรีรักษา นายอัฐชัย ชุมจันทร์ นายมงคล เข็มทอง นายรพ สุขสถิตย์ นางสาวกมลเกด อัคฮาด นายอัครเดช ขันแก้ว และบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง” (หน้า 88)
กรณีสังหารโหดในวัดปทุมฯ คอป. กลับไม่สามารถระบุอย่างชัดเจนว่า ตกลงทหารยิงหรือเปล่า แต่กรณีที่เป็นคนชุดดำใช้อาวุธ คอป. กลับสามารถระบุอย่างชัดเจนว่าใช่ เช่น ในเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. “เวลาประมาณ 10.50 น เชื่อว่ามีคนชุดดำยิงปืนสงครามเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติการอยู่ใน สวนลุมพินี...” หน้า 185, “เวลาประมาณ 13.30 น. คนชุดดำยิง ปลย. และระเบิดเอ็ม 79 หลายลูกเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเคลื่อนมาจากศาลาแดง” หน้า 186, “เวลาประมาณ 13.30 น. หลังจากที่แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุม คนชุดดำยิง ปลย.และลูกระเบิดเอ็ม 79 หลายลูกเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหาร” หน้า 146)
สรุปว่าการปฏิบัติงานของ คอป. คุ้มเงินของรัฐมาก เพราะช่วยสร้างทฤษฎีที่สนับสนุนการใช้กองกำลังเพื่อปราบปรามการชุมนุมของ ประชาชนได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องอาศัยการออก พรบ. เพื่อมาควบคุมหรือจำกัดสิทธิในการชุมนุมแต่อย่างใด และเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลโดยอาศัยพยานหลักฐานที่แย่มาก ๆ (flimsy) และข้อมูลส่วนใหญ่เป็นของรัฐ เรียกว่าถ้าเอาพยานหลักฐานที่ คอป. กล่าวอ้างไปใช้ในศาลที่เป็นอิสระ ผมสงสัยว่าศาลจะรับพิจารณาหรือไม่
ปล. รายงานฉบับนี้เป็นรายงานที่มีการพิสูจน์อักษรแย่มาก ๆ ที่เห็นสะกดผิด เป็นการสะกดตามเนื้อหาในรายงานนะครับ
