กระสุนซ้อม...ตายจริง ! กล้ายิง...ไม่กล้ารับ ?

โลกวันนี้ 3 กันยายน 2555 >>>


สร้างความฮือฮาในหมู่คนเสื้อแดงและคนที่รักความยุติธรรมเป็นอย่างยิ่งในการเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ของ 2 พลแม่นปืน ส.อ.คชารัตน์ เนียมรอด และ ส.อ.ศฤงคาร ทวีชีพ พลแม่นปืนที่ประจำการบริเวณสนามมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2553
ฮือฮาเพราะพลแม่นปืนทั้ง 2 คนยืนยันว่ากระสุนที่ลั่นออกจากปลายปากกระบอกปืนเป็นแค่กระสุนซ้อม ใช้เพื่อการยิงขู่ผู้ชุมนุมเท่านั้น ไม่มีหัวกระสุนที่จะทำให้ใครตายได้
พลันที่เสร็จสิ้นการสอบปากคำด้วยการตั้งโจทย์ 30 คำถาม ใช้เวลานาน 7 ชั่วโมงของดีเอสไอ ก็มีคำถามเกิดขึ้นในสังคมมากมาย กระสุนซ้อมทำไมมีคนตาย ? หรือ เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และคนเสื้อแดงอีกจำนวนมากที่เสียชีวิตตายเพราะกระสุนซ้อม
ทำไมการยิงกระสุนซ้อมจึงไม่มีการใส่ปลอกทวีแรงถอย (Blank firing attachment) ที่ปลายกระบอกปืน หากไม่ใส่ปลอกทวีแรงถอยต้องบรรจุกระสุนทีละนัด แต่ในคลิปบันทึกเหตุการณ์กลับเป็นการยิงต่อเนื่องไม่มีการงัดคันปืนใส่กระสุน
หากใช้กระสุนซ้อมทำไมมีภาพปรากฏป้ายคำเตือน “พื้นที่การใช้กระสุนจริง” Life Fining Zone ถ้ากระสุนซ้อมทำไมมีเสียงในคลิปบอกว่า “ล้มแล้ว” เป็นการยิงขู่แน่หรือ เพราะมีการติดกล้องและเล็งพิกัดล็อกเป้าหมายชัดเจน ปืนที่ใช้เป็นปืนเอ็ม 16 ติดกล้อง กองทัพมีกระสุนซ้อมสำหรับปืนเอ็ม 16 ด้วยหรือ ?
แน่นอนว่าคำให้การในส่วนของ ส.อ.คชารัตน์และ ส.อ.ศฤงคาร เป็นการให้ปากคำในส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองตรงจุดประจำการบริเวณสนามมวยลุมพินี แต่การให้ปากคำของพลแม่นปืนทั้งส 2 นาย เกิดคำถามต่อภาพรวมของการสลายการชุมนุม
ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) ระบุไว้ในรายงานหนา 932 หน้า ที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆนี้ว่า
การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีการใช้กำลังพลกว่า 60,000 นาย ใช้กระสุนจริงกว่า 117,923 นัด ในจำนวนนี้เป็นกระสุนซุ่มยิงกว่า 2,000 นัด มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 94 ราย แยกเป็นพลเรือน 77 ราย เจ้าหน้าที่รัฐ 10 ราย อาสาพยาบาล/กู้ชีพ 5 ราย ผู้สื่อข่าว 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน
มีคำชี้แจงจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่ากระสุนที่เบิกไปเมื่อเหลือก็จะส่งคืน นอกนั้นเอาไปใช้ฝึกหัดและจำหน่ายต่อไป ไม่ใช่เบิกไป 3,000 นัด ยิงไป 300 นัด ขาดไป 2,700 นัด แล้วต้องมีคนตาย 2,700 คน ถามว่าคนตายอยู่ที่ไหน มีใครบอกทหารเอาปืนไปยิงคน สื่อไปเอามาจากไหน เพราะถามลูกน้องแล้วเขาบอกว่า “ไม่ได้ยิงใครสักคน มีแต่โดนยิง” ไม่ว่าจะชี้แจงอย่างไรแต่ความจริงก็ต้องปรากฏออกมา เพราะมีคนตายจริง เจ็บจริง
ขณะนี้มีคดีการตายของคนเสื้อแดงหลายคดีอยู่ในขั้นตอนไต่สวนในชั้นศาล เพื่อชี้ว่าผู้ตายเป็นใคร ทำไมถึงตาย ใครทำให้ตาย
หลายคดีไต่สวนใกล้จบแล้ว แต่อีกหลายคดีก็ยังไม่ค่อยคืบหน้าเท่าที่ควร เพราะว่าผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐมักขอเลื่อนการเข้าไต่สวน ทำให้ศาลต้องเลื่อนการไต่สวนมาเป็นระยะ แต่ไม่ว่าจะพยายามยื้ออย่างไรที่สุดความจริงก็ต้องปรากฏออกมาว่าผู้ตายเป็นใคร ตายอย่างไร ใครทำให้ตาย
เมื่อข้อเท็จจริงนี้ปรากฏออกมาแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการต่อไปคือ ต้องไปพิจารณาต่อว่าการกระทำให้เสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้นเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินกว่าเหตุหรือความจำเป็นตามที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้การคุ้มครองหรือไม่
ถ้าอยู่ในกรอบที่กฎหมายคุ้มครองก็ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย หากเป็นการยิงโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ เกินกว่าเหตุหรือความจำเป็น ต้องมีความผิดตามกฎหมาย
คำถามจึงมีอยู่ว่า การใช้ปืน กระสุนจริง ยิงผู้ชุมนุมทางการเมืองจนเสียชีวิตจำนวนมาก เป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินกว่าเหตุหรือความจำเป็นซึ่งกฎหมายให้ความคุ้มครองหรือไม่
ลักษณะนิสัยของคนไทยโดยทั่วไปนั้นใจอ่อน ลืมง่าย อภัยเร็ว หาก “กล้าทำ กล้ารับ” แต่หาก “กล้าทำ ไม่กล้ารับ” และยังบิดเบือนข้อเท็จจริงจะยิ่งยั่วยุให้ออกมาทวงถามความจริง ตามหาความยุติธรรมให้คนเจ็บคนตายมากขึ้น
จากอภัยได้ก็จะไม่ให้อภัย จากรอมชอมปรองดองได้ ก็จะไม่รอมชอมปรองดอง วันนี้เกิดคำถามดังกระหึ่มในสังคมว่า ทำไม “กระสุนซ้อม...แต่...เจ็บจริง...ตายจริง”
ทำไมกล้าทำ ไม่กล้ารับ ให้สมกับการเป็น “ลูกผู้ชายชาติทหาร”