นอกจากสิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายแล้ว อีกวิธีที่ประชาชนอาจใช้เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ในกรณีที่เห็นว่ากฎหมายที่บังคับใช้นั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ หรือละเมิดสิทธิเสรีภาพของตนตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ ก็สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วเห็นว่า กฎหมายนั้นขัดกับรัฐธรรมนูญหรือละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจริง ก็จะมีผลให้มาตรานั้นไม่สามารถบังคับใช้ได้หรือถูกยกเลิกไปทันที โดยไม่มีใครสามารถประกาศใช้กฎหมายในลักษณะเดียวกันนี้ได้อีก เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐโดยตรง
ทั้งนี้ โดยทั่วไป ประชาชนไม่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเองโดยตรง แต่หากพบว่า สิทธิของตนจะถูกกระทบโดยกฎหมายใดเพราะมีการบังคับใช้ผ่านการฟ้องคดีในชั้นศาล ประชาชนจึงสามารถขอให้ศาลที่พิจารณาคดีของตนอยู่นั้นส่งเรื่องต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ว่า กฎหมายมาตรานั้นๆ ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่
หลังปี 2550 ประเทศไทยประกาศใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อขึ้นใหม่ทั้งระบบ ทั้งกฎหมายวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ ภาพยนตร์ และสื่ออินเทอร์เน็ต สถานการณ์เสรีภาพการแสดงออกของไทยเคลื่อนที่ออกจากการปิดกั้นสื่อมวลชนกระแสหลักมาเป็นการควบคุมการแสดงความคิดเห็นในระดับบุคคล สื่อใหม่ของพลเมือง เช่น อินเทอร์เน็ต หรือสื่ออิสระที่นำเสนอประเด็นทางสังคมแตกต่างไปจากข้อมูลที่รัฐต้องการได้ยิน ถูกดำเนินคดีด้วยอำนาจตามกฎหมาย
แต่สภาวการณ์ที่รัฐไทยต้องการรักษาประเด็นบางอย่างให้เป็นเรื่องถูกห้ามพูดถึงอยู่ตลอดเวลานั้น ไม่อาจทำให้ประชาชนพึงพอใจได้ เมื่อรู้สึกว่าสิทธิในการแสดงออกที่พวกเขาควรจะมีถูกลิดรอนโดยกฎหมาย พวกเขาจึงส่งเรื่องไปทวงถามให้ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่ชี้ว่า กฎหมายที่รัฐนำมาใช้ปิดกั้นการแสดงออกของพวกเขานั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วหรือไม่
ในปี 2555 มีกฎหมายเกี่ยวกับเสรีภาพที่ประชาชนส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ค้างอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 4 เรื่อง เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 3 ฉบับ โดยยื่นผ่านศาลชั้นต้นในระหว่างการพิจารณาคดี
คดี นายคธา ป. ยื่นให้ตีความ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2)
คดีนี้ จำเลยคือนาย คธา ป. ถูกฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2554 เป็นคดีดำหมายเลข อ.2337/2554 ว่าเป็นผู้โพสข่าวลือลงในเว็บบอร์ดเกี่ยวกับพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(2) ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(2) ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 40(3) เพราะเป็นบทบัญญัติที่กำกวม เป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจดุลพินิจได้อย่างไร้ขอบเขต ประชาชนอ่านแล้วไม่สามารถทราบได้ว่าการกระทำเช่นใดจึงผิดต่อกฎหมายโดยเฉพาะถ้อยคำว่า “ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน”
ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2555 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า บทบัญญัติมาตรา 14 (2) ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นมุ่งคุ้มครองความมั่นคงประเทศ และความสงบเรียบร้อยของประชาชนโดยส่วนรวม ซึ่งเป็นไปตามหลักนิติธรรม และการกำหนดความผิดทางอาญาแก่บุคคลตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (3) แล้ว จึงไม่รับคำร้องของจำเลยไว้วินิจฉัย
พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550:
มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550:
มาตรา 40 บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้
(3) บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม
คดี นายเอกชัย ห. ยื่นให้ตีความประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
คดีนี้จำเลยคือ นายเอกชัย ห. ถูกฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2554 เป็นคดีดำหมายเลข อ.2072/2554 ว่าเป็นผู้จำหน่ายแผ่นซีดี และเอกสารบันทึกบทสนทนา ซึ่งมีเนื้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2555 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 เพราะเป็นกฎหมายที่มีโทษสูงเกินไปไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 8 เพราะรัฐธรรมนูญมุ่งคุ้มครองพระมหากษัตริย์ผู้เดียว ไม่รวมถึงราชินีและรัชทายาทด้วย และขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 45 ที่คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต แต่มาตรา 112 กลับลงโทษแม้กระทั่งผู้ที่แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
ประมวลกฎหมายอาญา:
มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 :
มาตรา 8 องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้
มาตรา 29 การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้
มาตรา 45 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน
คดีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ยื่นให้ตีความประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
คดีนี้จำเลยคือ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2554 เป็นคดีดำหมายเลข อ.2962/2555 ว่าเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin ซึ่งมีบทความตีพิมพ์ลงในนิตยสารสองฉบับเป็นข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 และมาตรา 29 เนื่องจากไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เพราะเป็นกฎหมายที่กำหนดอัตราโทษไว้สูงเกินไป ทั้งที่มีลักษณะความผิดคล้ายการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษจำคุกเพียงหนึ่งปี และอัตราโทษยังสูงกว่าโทษของความผิดฐานดูหมิ่นกฎหมายบ้านเมืองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 อีกด้วย
ประมวลกฎหมายอาญา:
มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550:
มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม
มาตรา 29 การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้