ธิดาชี้ คอป. ไม่เป็นกลาง
ที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว นางธิดา โตจิราการ ประธาน นปช. แถลงถึงรายการการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ คอป. ว่า หลายคนผิดหวังกับรายงานดังกล่าว ซึ่ง คอป. ตั้งขึ้นเมื่อ มิ.ย. 53 โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งกรรมการมาเอาผิดตัวเอง จึงเห็นว่ามีนัยยะกล่าวโทษการต่อสู้ของประชาชนโดยสันติวิธีว่าไม่ชอบธรรม มีชายชุดดำ จึงเป็นความชอบธรรมของรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรง ที่มาของ คอป. จึงเหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด คนอย่างนี้หรือที่จะมีความเป็นกลาง หรืออิสระ รายงานของ คอป. จึงไม่ได้สร้างความปรองดอง แต่สร้างความโกรธแค้นให้มากขึ้น เพราะเป็นรายงานที่สนับสนุนความชอบธรรมในการเข่นฆ่าประชาชน สร้างความชอบธรรมให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นห่วงว่าหากเผยแพร่ในภาคภาษาอังกฤษจะสร้างความสับสนให้ชาวต่างชาติเข้าใจว่าการชุมนุมของ นปช. ไม่มีความชอบธรรม
จี้ คอป. แจง "สไนเปอร์"
นางธิดากล่าวว่า สำหรับรายงานสรุปของ คอป. ที่ไม่เสนอเรื่องการใช้สไนเปอร์ ว่ามีหลายเรื่องที่ไม่ได้พูดถึง บางเรื่องที่พูดถึงก็บิดเบือน ส่วนใหญ่จะปกป้องฝ่ายปราบปรามประชาชน ส่วนความเสียหายของประชาชนเสนอผิวเผินมาก จึงไม่แปลกที่รายละเอียดหลายเรื่องจะหายไปรวมถึงเรื่องการใช้สไนเปอร์ยิงประชาชน ซึ่งในรายงานมีการกล่าวถึงอยู่บ้าง แต่จะใช้คำว่าพลซุ่มยิงมากกว่าสไนเปอร์ เพื่อให้ดูเบาลง ทั้งที่ความจริงแล้วผลการชันสูตรพลิกศพมากมายที่บ่งบอกถึงลักษณะกระสุน และลักษณะบาดแผลของประชาชนที่เสียชีวิตว่าไม่ได้เกิดจากปืนธรรมดา
นางพวงทอง ภวัครพันธุ์ ผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) กล่าวว่า เรื่องการใช้ปืนสไนเปอร์ยิงใส่ประชาชน คอป. ควรที่จะเผยแพร่ข้อมูล ข้อเท็จจริง ต่อสาธารณะด้วย เพราะเชื่อว่าคอป.มีข้อมูลในส่วนนี้โดยมีผู้เชี่ยว ชาญด้านการใช้กระสุนปืนดำเนินการตรวจสอบ เพื่อให้ทราบว่ากระสุนจากสไนเปอร์ลงไปสู่คนในจุดใดบ้าง และทำให้มีประชาชนเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บมากเท่าไหร่ รวมทั้งยังขาดเรื่องความเหมาะสมในการสลายการชุมนุมด้วย ซึ่งตนเห็นว่าเป็นธรรมดาเพราะในรายงานนี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องฝ่ายเจ้าหน้าที่ หลายสิ่งหลายอย่างจึงไม่ครบถ้วน
ผลสอบ คอป. ขัดกับศาล
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่ารายงานของ คอป. ไม่มีหลักฐานชัดเจนเรื่องชายชุดดำ และไม่ได้กล่าวอ้างถึงพลซุ่มยิง หรือสไนเปอร์ ทำให้หลักฐานของ คอป. ไม่มีความน่าเชื่อถือ และมีเจตนาจงใจช่วยเหลือ ศอฉ. โดยวางน้ำหนักไปที่ชายชุดดำและพยายามแสดงให้เห็นว่าทหารปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรม ทั้งที่มีพยานชาวต่างชาติหรือตำรวจก็เห็นว่าไม่มีชายชุดดำ แต่ คอป. ไม่มีหลักฐานหรือภาพถ่ายว่ามีชายชุดดำจริง จึงเชื่อว่าประชาชนจะพิจารณาได้เองว่าความจริงคืออะไร
นพ.เหวง กล่าวว่า รายงานที่ออกมายังตรงข้ามกับที่ศาลอาญามีคำสั่งคดีนายพัน คำกอง ว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ระบุว่าในวันที่ 15 พ.ค. 53 ซึ่งนายพัน ถูกยิงเสียชีวิต ไม่พบมีชายชุดดำบริเวณสี่แยกมักกะสัน ไม่มีผู้ร้ายยิงใส่ทหาร ซึ่งฉีกหน้ารายงานของนายสมชาย หอมลออ ที่ระบุว่าระหว่างวันที่ 14-18 พ.ค. 53 มีชายชุดดำใช้อาร์พีจี บริเวณสี่แยกมักกะสัน บริเวณสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ถามว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่มีการยิงกันช่วงเวลาดังกล่าวแต่หยุดยิงในวันที่ 15 พ.ค. และเพียงกรณีนี้ก็เห็นชัดว่าคำสั่งศาลหักล้างกับรายงานอย่างสิ้นเชิง
ซัดไม่ตรวจสอบสไนเปอร์
นพ.เหวง กล่าวว่า นอกจากนี้รายงานที่ระบุว่ามีชายชุดดำ อยู่เลียบกำแพงวัดปทุมวนาราม หรือมีกลุ่มคนยิงสู้กับทหาร แต่กลับไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน จึงเป็นการกล่าวอย่างเลื่อนลอย เปรียบเหมือนกับที่ต่างคนออกมาพูดว่าพบรอยน้ำแข็งบนดาวอังคาร แต่กลับไม่เคยมีใครนำภาพว่ามีจริงมาเปิดเผย โดยเฉพาะเรื่องสไนเปอร์ ที่มีพยานหลายคนพบเห็น ทั่วโลกก็เห็นว่ามีจริง แต่ คอป. ไม่หาหลักฐาน ไม่ตรวจสอบสถานที่ตึกสูง ซึ่งมีผู้ระบุว่าพบเห็นสไนเปอร์ เช่น บริเวณโรงแรมดุสิตธานี ยอดตึก ร.พ.จุฬาลงกรณ์ ตึกอื้อ จื่อเหลียง ตึกชาญอิสระ ถนนพระราม 4 ทั้งที่มีภาพถ่ายจากสื่อ พยานแวดล้อม อยู่บริเวณตึกชาญอิสระ รวมไปถึงบริเวณถนนตะนาวใกล้สี่แยกคอกวัว หรือที่หน้าธนาคารออมสิน อีกประเด็นคือไม่พูดถึงกระสุนที่มีการเบิกใช้ 1.2 แสนนัด และกระสุนสไนเปอร์ 2,800 นัด มาใช้ในการสลายการชุมนุม
มึนว่อนเน็ต-คอป. ไม่เห็น
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รายงาน คอป. เป็นจินตนาการ นอกจากจะกล่าวถึงชายชุดดำโดยขาดพยานหลักฐานแล้ว ยังไม่มีการระบุถึงพลซุ่มยิงหรือสไนเปอร์ด้วย ซึ่งต่างจากที่ศาลตัดสินคดีนายพัน คำกอง ว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการพิสูจน์การเสียชีวิตตาม ป.วิอาญา ม.150 ว่าใครเสียชีวิต ใครทำให้เสียชีวิต และเสียชีวิตด้วยอาวุธอะไร ถือเป็นกระบวนการพิสูจน์การเสียชีวิตตามหลักการทางนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ รู้สึกแปลกใจที่มีคลิปภาพของพลซุ่มยิงทั้งจากเว็บไซต์ในประเทศและต่างประเทศปรากฏออกมามากมาย แต่กลับไม่มีในรายงานของ คอป. ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประชาชนไม่สามารถหาความจริงใดๆ ได้จากรายงานของ คอป.