เจษฎา โชติกิจภิวาทย์-วิทยากร บุญเรือง: ทำไมต้องมาพูดเรื่องการต้านรัฐประหารอีกครั้ง ?

ประชาไท 10 กันยายน 2555 >>>


เราจะด่วนสรุปว่า “การเลือกตั้งไม่สำคัญ” ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะ “ไม่มีประชาธิปไตยที่ไร้การเลือกตั้ง” การเลือกตั้งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นที่จะขาดเสียมิได้ในระบอบประชาธิปไตย

Yoshifumi Tamada

รัฐประหารครั้งใหม่ก็จะให้ ผลอย่างเดียวกัน และอาจเลวร้ายกว่า เช่นความแตกร้าวในกองทัพซึ่งแสดงออกให้เห็นได้แต่เพียงระเบิดไม่กี่ลูก ก็จะกลายเป็นระเบิดกันทุกวัน และวันละหลายครั้ง อำนาจรัฐอาจไม่ถูกท้าทายที่ราชประสงค์ แต่อาจถูกท้าทายไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศ

นิธิ เอียวศรีวงศ์

“การเลือกตั้ง” เป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งในระบอบประชาธิปไตยและการพัฒนาประชาธิปไตย รัฐบาลที่มาจากการการเลือกตั้งจากประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย ขึ้นสู่อำนาจในการบริหารประเทศผ่านความชอบธรรมจากประชาชนผู้เลือกตั้ง ตามหลักการ “หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง” “คนเท่ากัน” ผู้ปกครองมิใช่มาจากชาติกำเนิดและ ฐานันดรศักดิ์ ตลอดทั้ง ระบอบประชาธิปไตย ยังได้เปิดพื้นที่ด้านสิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร สิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มของประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ได้อย่างเสรี มากกว่าระบอบการปกครองแบบอื่นๆเมื่อเปรียบเทียบกัน
สำหรับสังคมการเมืองไทย นอกจากการปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น ระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังมีการ “รัฐประหาร” เกิดขึ้น
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมักถูกขัดขวางด้วยการรัฐประหารอยู่ตลอดเวลา ในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์การเมืองไทย หรือที่เรียกกันว่า “วงจรอุบาทว์” ทางการเมืองไทย และข้ออ้างในการรัฐประหาร มักอ้างเรื่องเกี่ยวกับ “ความจงรักภักดี” “การคอรัปชั่นของนักการเมือง” “การใช้อำนาจการเมืองแทรกแซงข้าราชการประจำ” เป็นต้น แต่บางครั้งก็เป็นการรัฐประหารในแวดวงกองทัพ เผด็จการอำนาจนิยม กลุ่มอนุรักษ์นิยม เพื่อกระชับอำนาจและหรือแย่งชิงอำนาจกันเองก็มีปรากฏ
ประวัติศาสตร์การรัฐประหารในสังคมการเมืองไทย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้เขียนบทความขึ้นในหนังสือเล่มนี้ ชี้ให้เห็นถึง ตัวละคร บทบาท ข้ออ้าง ความสลับซับซ้อน ความเหมือนและความต่างในแต่ละเงื่อนไขของเหตุการณ์ของการรัฐประหารในประวัติ ศาสตร์ที่เกิดขึ้น หรือ “ประวัติศาสตร์การรัฐประหารในประเทศไทย” และการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้สะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่าง “ฝ่ายประชาธิปไตย” กับ “ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย” ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” ที่ต่อเนื่องมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ก็ได้ชี้ให้เห็นบริบทการเมืองไทยในช่วงเหตุการณ์พฤษภา 2534 และได้ตั้งประเด็นคำถามส่วนหนึ่งของบทความในหนังสือเล่มนี้ ถึงความย้อนแย้งของคนชั้นกลาง ผู้เอาการเอางานในการต่อสู้กับเผด็จการทหารคณะผู้รักษาความสงบเรียบร้อยแห่ง ชาติ (รสช.) ที่ก่อการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 23 กุมพาพันธ์ 2534 และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งต่อมาก็มีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ประชาชนทุกกลุ่มสาขาอาชีพ มีส่วนร่วมมากที่สุดในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ แต่คนชั้นกลางเหล่านี้ส่วนมากกลับผันผวนสลับข้างหันมาสนับสนุนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ล่าสุด ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
กระนั้นก็ตามเมื่อมีการรัฐประหาร ก็มีการต่อต้านรัฐประหารควบคู่กัน ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล และระดับองค์กร ดั่งบทสัมภาษณ์บุคคลในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งได้กล่าวถึงบทบาทการเคลื่อนไหวต้านรัฐประหาร ทัศนคติและวิธีการต้านรัฐประหารในอนาคตถ้าหากมีขึ้น เช่น อุทัย พิมพ์ใจชน นักการเมืองและอดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ, สิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และ สมาชิกวุฒิสภาจากการเลือกตั้ง, สมบัติ บุญงามอนงค์ เอ็นจีโอ นักกิจกรรม ตลอดทั้ง นวมทอง ไพรวัลย์ ที่ วัฒน์ วรรลยางกูร ได้เขียนถึงเรื่องราวของเขา รวมทั้งได้ย้อนชวนสนทนาถึงแนวคิดข้อถกเถียงประชาธิปไตยของ กบฏ ร.ศ. 130
ด้านหนึ่งชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของคนหนุ่มสาว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหนุ่มที่อุดมการณ์แรงกล้า อาจหาญลุกขึ้นมาสู้กับอำนาจปืน หรือผู้นำนักศึกษาผู้ใฝ่ฝันถึงประชาธิปไตยที่เป็นผู้นำการต้านรัฐประหารโดย ทันทีเมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้น และบางคนเป็นนักประชาธิปไตยที่ไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งมาก่อน หรือบางคนก็เป็นสามัญชนคนธรรมดาแบบลุงนวมทอง ไพรวัลย์
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ครั้งล่าสุด ที่มิอาจทำนายกันได้ว่า เป็นครั้งสุดท้าย แต่การรัฐประหารในครั้งนั้น นับได้ว่าได้ส่งผลสะเทือนต่อ คำว่า “รัฐประหาร” มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีการถกเถียงพูดถึง “ปัญหาการรัฐประหาร” และ “การรัฐประหารซ่อนรูป” รวมถึงคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” กันมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ยังได้มีการตั้งคำถามและตรวจสอบถึงบทบาทของสื่อมวลชน ผู้นำสาธารณะ ราษฎรอาวุโส นักสิทธิมนุษยชน องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ในการออก “ใบอนุญาตรัฐประหาร” ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ตลอดถึงการตั้งคำถามกันว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็น รัฐประหารครั้งสุดท้ายในสังคมการเมืองไทยหรือไม่
นอกจากนี้แล้ว ภายหลังการรัฐประหาร ผู้ยึดอำนาจมักจะวางแผนการสืบทอดอำนาจ แม้ว่าอาจจะให้มีการเลือกตั้ง แต่ก็ภายใต้เงื่อนไขที่กลุ่มรัฐประหารสืบทอดอำนาจต่อเนื่องได้ โดยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับที่พวกเขามีส่วนกำหนดขึ้นมาภายหลังการรัฐประหาร และเมื่อประชาชนออกมาคัดค้าน ชุมนุมต่อต้านการสืบทอดอำนาจของพวกเขาก็มักจะมีการปราบปรามประชาชนอย่าง รุนแรงและไร้มนุษยธรรม เช่น กรณีพฤษภา 35 และ เมษา-พฤษภา อำมหิต 53 เป็นต้น
หนังสือเล่มนี้ เป็นการนำเรื่องราวส่วนหนึ่งของ “การรัฐประหาร” ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาสนทนากันอีกครั้ง เพื่อเป็นความรู้และบทเรียนให้กับสังคมไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งเหมือนที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยเขียนไว้ว่า “เพราะดูเหมือนเป็นคำตอบเดียวที่ชนชั้นนำบางกลุ่มมีอยู่ในกระเป๋า เพราะไปคิดว่ารัฐประหารจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาทุกอย่าง นับตั้งแต่ความแตกร้าวภายในของชนชั้นนำเอง, การดำเนินนโยบายที่ทันท่วงทีต่อความเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอก, ฟื้นฟูสมดุล ทางการเมืองระหว่างพลังดิบและพลังประชาธิปไตย กลับคืนมาได้อย่างมั่นคง, ให้อำนาจที่ค่อนข้างเด็ดขาดมากขึ้นแก่ชนชั้นนำที่จะประคับประคองการเปลี่ยน ผ่านของสถาบันทางการเมืองและวัฒนธรรมทุกสถาบัน ฯลฯ”
“รัฐประหาร” อาจเคยทำอย่างนั้นได้สำเร็จ แต่รัฐประหารครั้งสุดท้ายกลับทำไม่สำเร็จแบบเช่นเดิม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจักษ์ต่อสายตาที่เคยมืดมัวของคนในสังคมไทย หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เราจะพบว่าการรัฐประหารไม่สามารถผนวกพลังใหม่ของประชาชนระดับล่างให้เข้ามา ร่วมอยู่บนเวทีการเมืองอย่างเสมอภาคได้, การรัฐประหารทำให้เกิดความแตกร้าวในสังคมหนักขึ้น, การรัฐประหารทำให้ชนชั้นนำที่เคยอยู่แต่เบื้องหลังถูกดึงมาร่วมในการปะทะขัด แย้งกันเบื้องหน้า, และการรัฐประหารไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจำเริญมากขึ้นหรือการแบ่งปันทรัพย์สินดี ขึ้น ฯลฯ
กระนั้นก็ตาม ในยุคสมัยปัจจุบันที่ประชาชน “ตาสว่าง” จำนวนกว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่ไม่ปรากฏมาก่อน แน่นอนว่าในอนาคตอันใกล้นี้ การรัฐประหารอาจจะมาในรูปแบบใหม่ การค้านมติของมหาชนคนส่วนใหญ่อาจจะมาในรูปแบบที่เราไม่ชินตา แต่กระนั้นมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเมื่อใดมีการรัฐประหารเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดๆ ก็ตาม ก็จะมีการต่อต้านมันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์สังคมการเมืองไทย เช่นกัน