อีก 2 วันจะครบรอบ 6 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งมีนัยสำคัญเพราะสถานการณ์วันนี้พลิกผันไปอย่างที่มวลชนคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายก็ไม่คาดคิด นั่นคือรัฐบาลนี้จะอยู่ยาวแต่อยู่อย่างแย่ๆ และอยู่ได้โดยไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญรื้อ โครงสร้างอำมาตย์
สถานการณ์พลิกผันทั้งที่ตอน 5 ปีรัฐประหารยังห้ำหั่นกันรุนแรง แต่ภายหลังร่างแก้ไขมาตรา 291 ถูกศาลยับยั้ง แม้ดูเหมือนพรรคเพื่อไทยแพ้ แต่เอาเข้าจริงกระแสสังคมปฏิเสธทั้ง 2 ด้าน ทั้งการยุบพรรคที่จะทำให้ปั่นป่วนวุ่นวายไม่สิ้นสุด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สังคมเหนื่อยล้าบอกว่าพักรบก่อนได้ไหม รัฐประหาร 2549 เกิดจากการต่อต้าน ระบอบทักษิณ ซึ่งเริ่มจากจุดยืนประชาธิปไตยคัดค้านอำนาจนิยมแต่กลับปลุกความเกลียดชังสุด ขั้วสุดโต่ง ปลุกชาตินิยม อ้างสถาบัน จนนำไปสู่รัฐประหาร และยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ดึงตุลาการมากำจัดศัตรูทางการเมือง
กระนั้นพรรคพลังประชาชนก็ยังชนะเลือกตั้ง แต่พันธมิตรยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค เกิดการพลิกขั้วจูบปาก ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ซึ่งก็เกิดม็อบเสื้อแดงตอบโต้ แม้อยู่บนพื้นฐานเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ก็มีด้านรุนแรง ฮาร์ดคอร์ ไม่แพ้กัน
6 ปีผ่านไป สังคมไทยมาถึงจุดที่เข็ดขี้อ่อนขี้แก่ ไม่อยากเห็นรัฐประหารอีก ไม่อยากเห็นการยุบพรรค ไม่อยากเห็นม็อบยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ยึดราชประสงค์ ไม่อยากเห็นการเอาชนะคะคานไม่รู้จักจบสิ้น สังคมเหนื่อยล้า อยากทำมาหากิน จึงเกิดฉันทามติอย่างไม่เป็นทางการ ว่าขัดแย้งกันอยู่ในกรอบได้ไหม รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งก็ให้บริหารประเทศไป แต่อย่าทำอะไรที่เสี่ยงต่อการแตกหัก ฝ่ายค้านฝ่ายแค้นถ้าไม่พอใจก็รอเลือกตั้งครั้งหน้า
นี่คือกระแสสังคมไม่ใช่ผมเห็นด้วย กระแสสังคมมีทั้งด้านที่ถูกต้องและฉาบฉวย ด้านที่ถูกคือสังคมตกผลึกว่าต้องแก้ปัญหาตามวิถีประชาธิปไตย เดินสายกลาง ไม่เอาสุดขั้วสุดโต่ง ด้านที่ฉาบฉวยคือ เราไม่ควรหยวนยอมหยุดแค่นี้ ควรเดินหน้าพัฒนาประชาธิปไตยให้คุ้มความสูญเสียทั้งชีวิตเลือดเนื้อและเวลา 6 ปี
ภายใต้กระแสเช่นนี้ผู้ที่ได้อานิสงส์ไปเต็มๆ คือรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งมีความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง แต่อีกด้านหนึ่งก็ไม่ได้บริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซ้ำยังน่าเชื่อว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น
แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็อยู่ได้เพราะสังคมไทยไม่มีทางเลือก เมื่อไม่เอารัฐประหาร ไม่ เอายุบพรรค ก็มองไม่เห็นอนาคตที่ประชาธิปัตย์จะชนะ เพราะจนป่านนี้ยังเล่นการเมืองแบบสายล่อฟ้า ช่างทาสี ปลุกความเกลียดชังซ้ำซาก หวังให้รัฐบาลถูกขับไล่ มากกว่าหวังชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
พันธมิตรซึ่งกำลังโอดครวญหวนโหยว่ากระป๋องบริจาคว่างเปล่าก็ไปไม่เป็น ไม่สามารถปลุกม็อบยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ปิดถนน อีกต่อไป ไม่สามารถขายอุดมการณ์สุดขั้วสุดโต่ง มาตรา 7 การเมืองใหม่ ที่ปฏิเสธการเลือกตั้ง และเริ่มสูญเสียมวลชน ซึ่งเหนื่อยล้า ท้อแท้ ตาสว่าง หรือไม่ก็คลุ้มคลั่งไปเลย เพราะทำใจไม่ได้
ประชาธิปัตย์และพันธมิตรเริ่มถูกทอดทิ้งจากอำมาตย์ ซึ่งเห็นแล้วว่าไม่สามารถเอาชนะอำนาจจากการเลือกตั้ง พร้อมจะประนีประนอมหากรัฐบาลไม่รุกเร้าเกินไป ตุลาการภิวัฒน์ องค์กรอิสระ เริ่มไม่อยากแส่เข้ามาหาเผือกร้อน ในเมื่อฝ่ายการเมืองก็ยังยอมให้อยู่ในตำแหน่งและอำนาจ เสวยสุขอยู่ในอาณาจักรของตน
แน่นอนสภาพเช่นนี้นักประชาธิปไตย แดงอุดมการณ์ ก็รู้สึกอึดอัด ไม่ได้ดังใจ เพียงแต่อีกด้านหนึ่งก็ยังพึงพอใจ ที่กระแสสังคมเริ่มยอมรับประชาธิปไตยปกติ รัฐประหารยากจะกลับมา ตุลาการภิวัตน์ง่อยเปลี้ย ถือเป็นชัยชนะขั้นหนึ่ง (อย่างน้อยก็ไม่ทุรนทุรายตายตาไม่หลับเหมือนพวกเสื้อเหลือง)
ในจุดเปลี่ยนนี้พลังมวลชนทั้งสองขั้วต้องปรับตัวพันธมิตรต้องกลับไปสู่จุด เริ่มต้นของตนซึ่งที่จริงเป็นจุดเริ่มที่ดีงาม ต่อสู้อำนาจนิยม ต่อต้านคอร์รัปชั่น แต่ต้องไม่มุ่งไปสู่รัฐประหาร พึ่งอำมาตย์ พึ่งตุลาการ โค่นล้มรัฐบาลจากเลือกตั้ง (ซึ่งยากส์อยู่นะ หลังเตลิดเปิดเปิงมา 6 ปี)
ขณะที่เสื้อแดงก็ต้องตีโจทย์ใหม่ว่าทำอย่างไรจะสามารถควบคุมนักการเมืองที่ ตัวเองเลือกมา ไม่ใช่ปล่อยให้อ้างประชาธิปไตยแล้วอยู่ในอำนาจโดยไม่ทำอะไรให้สังคมก้าวหน้า และทำมาหากินไปวันๆ ทำอย่างไรจะสร้างกลไกตรวจสอบนักการเมือง ทำอย่างไรจะชักนำสังคมให้เห็นความสำคัญของการปฏิรูปประชาธิปไตย เป็นโจทย์ยากเหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับนับหนึ่งใหม่
