พันธมิตรฯ อ่านแถลงการณ์ อัด ผบช.น. ชัด รับใช้การเมือง นัดรวมตัว กองปราบ 25 ก.ย.นี้ ให้กำลังใจหญิงสาว ด่า "เจ๊ดา" ดารุณี กฤตบุญญาลัย พร้อมประกาศจะให้ความช่วยเหลือ ก.ม. หากหญิงคนดังกล่าวต้องการ
วันนี้ 21 ก.ย. ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ เรื่อง "การกลับมาอีกครั้งของรัฐตำรวจ" โดยมีเนื้อหา
"กรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ได้เดินทางไปพบกับนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ทักษิณ ชินวัตร ในต่างประเทศ พร้อมกับให้นักโทษหนีอาญาแผ่นดินทักษิณ ชินวัตร ประดับยศให้นั้น อีกทั้งยังได้ติดป้ายที่สำนักงานด้วยข้อความว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” นั้น อีกทั้งยังประกาศว่า พร้อมลาออกทันทีหากพรรคการเมืองฝ่ายค้านกลับมาเป็น รัฐบาล สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานจริยธรรม ที่ตกต่ำซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ วิกฤติที่ร้ายแรง เมื่อตำรวจซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายกลายแสดงตนเป็นเครื่องมือทางการ เมืองอย่างชัดเจน
ต่อมาวันที่ 11 ก.ย. พรรค ปชป. ได้ยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการกระทำดังกล่าว เป็นเหตุให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ได้แจ้งต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 17 ก.ย. ว่า จะไปยื่นหนังสือให้แก่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และได้กล่าวเชิญตำรวจคนอื่นให้ไปด้วยกันนั้น ปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่ 18 ก.ย. มีการนำตำรวจกว่า 200 นายซึ่งพกอาวุธรวมตัวกัน ในเวลาราชการเข้ามาบริเวณพรรค ปชป.
แม้ต่อมา ผบช.น. จะไม่ได้มาที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่การกระทำดังกล่าวนั้นย่อมถือเป็นการนำกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐติดอาวุธ ข่มขู่พรรคการเมือง ลุแก่อำนาจ อันจะยิ่งสร้างความแตกแยกให้กับบ้านเมืองในระดับที่รุนแรงและร้าวลึกไปยิ่ง กว่าเดิมในอนาคตอันใกล้นี้
การที่รัฐบาลซึ่งกำกับดูแลสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตลอดจนสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด โดยให้ตำแหน่งกรรมการ ในรัฐวิสาหกิจ ที่มีผลตอบแทนในรูป ของสิทธิพิเศษหรือเงินทอง หรือในรูปคณะกรรมการต่างๆ ทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศชาตินั้น ก้าวเข้าสู่ความตกต่ำลง อีกทั้งรัฐบาล ซึ่งมีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลายระดับได้เคยกระทำความผิด ต่อกฎหมายในระหว่างการชุมนุม ก่อให้เกิดการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และมีการดำเนินคดีความเป็นไปอย่างเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และไม่เกิดความเท่าเทียมกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
มีการดำเนินการโดยพนักงานสอบสวน ร่วมมือกับอัยการได้ดำเนินการขอให้ศาลไต่สวนการชันสูตรพลิกศพของผู้ร่วม ชุมนุมกับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี พ.ศ. 2553 ว่าเสียชีวิตด้วยเจ้าหน้าที่รัฐหรือโดยการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับคดีของแกนนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ไม่มีความคืบหน้า และคดีที่เกี่ยวกับชายชุดดำ ที่ติดอาวุธสงครามโจมตีทำร้าย และสังหารทหารนั้น ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าแต่ประการใดเช่นกัน
การกระทำดังกล่าวยิ่งทำให้เกิดกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ทัดเทียมกัน ซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดความสับสนและเกิดการโฆษณาชวนเชื่อด้านเดียวว่า ทหารหรือรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ฆ่าประชาชน ซึ่งจะสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติมากไปกว่าเดิม โดยปราศจากข้อเท็จจริง อีกด้านหนึ่งที่ว่าการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มีกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธสงครามยิงทำร้ายและสังหารทหารก่อนที่จะมีการสลายการ ชุมนุมในเวลาต่อมา ดังปรากฏในรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เป็นที่ชัดเจนแล้ว
นอกจากนี้ยังปรากฏอีกว่า เจ้าพนักงานสอบสวน กับอัยการสูงสุดในยุครัฐบาลปัจจุบัน ได้ร่วมมือกันดำเนินการ ไต่สวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 150 เพื่อพิสูจน์ว่า การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เสียชีวิตโดยการกระทำของทหารนั้น เป็นการปฏิบัติที่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกรณีของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ (โบว์) ซึ่งเป็นผู้ร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยสงบและปราศจาก อาวุธ และเสียชีวิตด้วยระเบิดแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่รัฐยิงเข้าใส่นั้น ก็ไม่ได้มีการดำเนินการไต่สวนชันสูตรพลิกศพเพื่อชี้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้า หน้าที่รัฐแต่ประการใด ซึ่งสะท้อนเห็นว่ามีความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม 2 กลุ่มที่ไม่ทัดเทียมกันในกระบวนการยุติธรรม
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงขอแจ้งมายังพี่น้องประชาชนให้ทราบว่ารัฐ ตำรวจได้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว และขอเตือนไปยังรัฐบาลว่าหากยังคงดำเนินการในลักษณะก่อให้เกิดความอยุติธรรม เช่นนี้ต่อไป นอกจากสังคมไทยจะไม่มีโอกาสทราบความเป็นจริงอันจะนำไปสู่ความสงบสุขที่แท้ จริงภายใต้กระบวนการยุติรรมที่ทัดเทียมกันแล้ว สังคมไทยก็จะมีความขัดแย้งและแตกแยกด้วยความรุนแรงยิ่งไปกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ขณะที่กรณีที่มีหญิงคนหนึ่งซึ่งได้แสดงออกด้วยคำพูดต่อว่าและตั้งคำถามกับ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 ที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน ต่อมา กองบังคับการปราบปรามได้ออกหมายเรียกสตรีคนดังกล่าวในข้อหาหมิ่นประมาท โดยการป่าวประกาศและนัดให้มาพบพนักงานสอบสวนวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555 นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีความเห็นดังนี้
กลุ่มพันธมิตรฯ จึงเห็นว่า ควรให้การสนับสนุน และให้การช่วยเหลือสตรีที่มีเจตนาดังกล่าว โดยจะขอให้กำลังใจสตรี และพร้อมจะจัดส่งทนาย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการต่อสู้คดีความดังกล่าวหากเป็นความประสงค์ของสตรีนี้ พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนไปแสดงออกให้กำลังใจสตรีคนดังกล่าวในวันและเวลาที่ มารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนด้วย