ธาริตโต้กลับ ′สุเทพ′ คดี 98 ศพ
กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พูดผิดจากข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 98 ศพ ทั้งที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนลงความเห็นแล้วว่า ไม่รู้ว่าใครทำให้ตาย ไม่มีพยานหลักฐานจึงส่งเรื่องให้ทางดีเอสไอ แต่ต่อมานายธาริตแสดงความเห็นว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดนั้นมี 13 ศพ น่าจะเป็นการเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก่อนจะขอให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ชันสูตรศพใหม่ กระทั่ง ตร. ได้ทำรายงานกลับไปที่ดีเอสไอยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่และเรื่องก็จบตรงนั้น แต่พอเปลี่ยนรัฐบาลจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลในปัจจุบัน นายธาริตได้เดินเรื่องใหม่ ทั้งที่ไม่มีอะไรเป็นความลับ กลับพยายามสร้างเรื่องให้ดูสำคัญและน่าตื่นเต้น
เมื่อวันที่ 23 กันยายน นายธาริตได้ออกมาชี้แจงต่อคำสัมภาษณ์ดังกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่การเดินเรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่าที่มันยังไม่จบ ดีเอสไอตรวจสอบพบว่า มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เบื้องต้นว่า เชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตขณะนั้น 11 ศพ น่าจะเกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงต้องส่งสำนวนให้ตำรวจท้องที่ทำสำนวนชันสูตรศพ เพื่อส่งให้อัยการยื่นศาลไต่สวนการเสียชีวิต หลักของเรื่องเป็นอย่างนี้ แต่ตอนนั้นทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เห็นว่า การเสียชีวิตของทั้ง 11 ศพ ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ จึงสรุปสำนวนว่าไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับมายังดีเอสไอ โดยมีเหตุผลท้ายสำนวน ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารคนใดรับสารภาพเป็นผู้ยิงใส่ประชาชน จึงไม่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต
ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้
นายธาริตกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่อยากพูดว่ามันเกิดอะไร หลักฐานเบื้องต้นที่ดีเอสไอรวบรวมพนักงานสอบสวนมีความเห็นเชื่อได้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต เป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ วิถีการยิง และปลอกกระสุนปืนที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุและการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ ทุกอย่างเป็นข็อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มันเปลี่ยน แปลงไม่ได้ และเคยให้ความเห็นไปแล้วในช่วงนั้นว่า เรื่องดังกล่าวควรยุติโดยการไต่สวนของศาลไม่ใช่ในชั้นพนักงานสอบสวน ส่วนการออกมาระบุว่า ได้ไปรายงานเรื่องการเสียชีวิต 11 ศพ อาจจะเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ให้กับนายอภิสิทธิ์รับทราบนั้น มันอาจจะไม่ใช่เรื่องความลับสำคัญมากนัก แต่มันอาจเป็นเครื่องบ่งบอกได้ว่า กรณีการไต่สวนเป็นสิ่งที่รัฐบาลที่แล้วเห็นด้วย และรับรู้ขั้นตอน หากศาลมีคำสั่งดีเอสไอจะต้องทำอย่างไรเมื่อศาลมีคำสั่ง ดังนั้น มันคงไม่ใช่การตั้งธง หรือเริ่มเรื่องใหม่อย่างที่จะพยายามทำให้สังคมเข้าใจไปในทิศทางนั้น
ย้ำ จนท. ให้ปากคำยิงจากบีทีเอส
แหล่งข่าวจากพนักงานสอบสวนเปิดเผยว่า ช่วงที่ดีเอสไอดำเนินการสอบสวนเบื้องต้น มีการลงพื้นที่คำนวณแนววิถีกระสุน บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้เก็บปลอกกระสุนปืนจากบริเวณ ดังกล่าว และมีการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประจำจุดดังกล่าวได้ยอมรับว่ามีการยิงปืนจากบริเวณดังกล่าวจริง รวมทั้งการตรวจพิสูจน์ศพและบาดแผลผู้เสียชีวิตที่พบร่องรอยของกระสุนความเร็วสูง ซึ่งข้อมูลทั้งหมด หลังจากนายธาริตได้รายงานกับนายอภิสิทธิ์แล้ว ได้สั่งให้ไปเคลียร์ และทำความเข้าใจกับต้นสังกัดเอาเอง แต่เรื่องดังกล่าวไม่ได้รับการยินยอม เพราะ ผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องการขึ้นศาล ไต่สวน เพราะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของ ศอฉ.
′ธาริต′ เผยแนะ จนท. ขึ้นศาล
แหล่งข่าวจากพนักงานสอบสวนกล่าวว่า นายธาริตเคยหารือนอกรอบกับนายสุเทพ อดีตนายทหารยศ พล.อ. และนายตำรวจยศ พล.ต.ท. ถึงเรื่องการดำเนินคดีผู้เสียชีวิต 11 ศพ ที่พบหลักฐานน่าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง โดยนายธาริตได้แนะนำควรขึ้นศาลไต่สวน และไปแก้ต่างในชั้นการไต่สวน แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงไม่เห็นด้วย ควรให้เรื่องยุติในชั้นพนักกสอบสวน
ทั้งนี้ การหารือครั้งนั้นนายธาริตได้เสนอความเห็นว่า หากเรื่องดังกล่าวยุติชั้นพนักงานสอบสวน อาจจะเกิดปัญหาในอนาคตได้ หากมีการหยิบขึ้นมา เนื่องจากกระบวนการยังไม่ได้ข้อยุติโดยศาล อีกทั้งพยานหลักฐานที่ดีเอสไอรวมรวบอยู่ในสำนวน เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่การเสนอความเห็นครั้งนั้น ไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาล เพราะต้องการให้เรื่องจบในชั้นพนักงานสอบสวน และสุดท้ายพนักงานสอบสวนของ บช.น. ขณะนั้น ก็สรุปความเห็นว่าทั้ง 11 ศพ ไม่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต ก่อนส่งสำนวนกลับมายังดีเอสไอ
ส่งความเห็นแย้งช่วง รบ. ′ปู′
แหล่งข่าวพนักงานสอบสวนกล่าวต่อว่า แต่พอช่วงสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และกระทรวงยุติธรรม มีการสอบถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายธาริตได้ระบุว่า ดีเอสไอกำลังส่งความเห็นแย้งกับไปยัง บช.น. และยืนยันตามความเห็นเดิมว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ บช.น. ได้มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายตามฤดูกาล โดยให้ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. มากับดูแลการสอบสวนคดีดังกล่าว แทน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ที่ปรับย้ายไปเป็น รองผู้บัญชาการกองบัญชาการศึกษา จนกระทั่งนำไปสู่การรวบรวมหลักฐาน และสรุปสำนวนชันสูตรว่าน่าเชื่อว่าการตายของทั้ง 11 ศพ มี เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง ส่งอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิต
ผู้สื่อรายงานว่า ในวันที่ 24 กันยายน เวลา 15.00 น. พนักงานสอบสวนได้นัดหมายให้นายปณิธาน วัฒนายากร อดีตโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาให้ปากคำในคดี 98 ศพ