เหตุการณ์เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา จากการเผยแพร่บทกวีของสุรชัย จันทิมาธร หรือหงา คาราวาน ศิลปินแห่งชาติและศิลปินเพลงเพื่อชีวิต เนื่องในโอกาสเป็นวันสุนทรภู่ บทกวีของคุณสุรชัยมีใจความในทำนองว่ามีกลุ่มคนปล้นสีแดงไปย่ำยีเป็นของตัวเอง ทำให้ศิลปินเดือดร้อน ไม่กล้าที่จะใช้สีแดงเพราะไม่มีใจให้ วอนขอคืนสีแดงมาก่อนจะเกิดสงคราม ดังข้อความดังนี้
ขอเรียนศาลแห่งสีที่เคารพ สีต้องใช้ไม่ครบกระบวนสีหลังจากนั้นก็มีกวีหลายคนที่เขียนบทกวีโต้สุรชัย แต่ประเด็นที่สุรชัยเสนอกลายเป็นประเด็นทางสังคมมากขึ้นเมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และพลพรรคของเขาออกมาขานรับ จากการที่นายอภิสิทธิ์ขึ้นปราศรัยในวันที่ 29 กรกฎาคม แล้วถอดเสื้อแจ็กเกตสีน้ำเงินของพรรคประชาธิปัตย์ออก ข้างในเป็นเสื้อยืดสีแดงที่มีข้อความว่า “หยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง” จากนั้นก็แถลงว่าการที่ตนใส่เสื้อสีแดงเพราะสีแดงอยู่ในธงชาติ ไม่ใช่สีของคนคนเดียว และย้ำว่าตั้งใจใส่สีแดงเพื่อบอกกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นคนเสื้อแดงและอ้างว่ามีอุดมการณ์ว่า “คุณต้องใส่เสื้อแดงแบบเดียวคือ มีข้อความหยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกงเท่านั้น แต่ถ้าคุณใส่เสื้อแดงและไม่ยอมเรียกร้องหยุดปรองดองและความยุติธรรม ก็ไม่มีความหมายอะไรนอกจากเป็นขี้ข้าทักษิณ”
มีกลุ่มคนผูกขาดในชาตินี้ ยึดสีแดงไปย่ำยีเป็นของตน
ทำให้สีแดงแย่มีแต่ยุ่ง จะแต่งปรุงงานศิลป์ก็สับสน
ศิลปินเดือดร้อนเกินจะทน เพราะสีแดงถูกปล้นขโมยไป
เอาสีแดงคืนมาให้ข้าเถิด ก่อนจะเกิดสงครามห้ามไม่ได้
ทุกวันนี้พวกข้าไม่กล้าใช้ เพราะว่าใจไม่มีให้สีแดง...
จากนั้นพลพรรคฝ่ายประชาธิปัตย์ก็ออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนนายอภิสิทธิ์มากมาย เช่น นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์รูปเสื้อสีแดงลงในเฟซบุ๊ค พร้อมยืนยันว่า “สีแดงเป็นสีธงชาติ และเป็นสิทธิของคนไทยทุกคนที่จะใช้สีนี้” ส่วนนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงสนับสนุนการสวมเสื้อสีแดงของนายอภิสิทธิ์ว่า “เสื้อสีแดงเป็นเสื้อที่ประชาชนมีสิทธิใช้ทุกคน และสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องคือคนไทยต้องใช้เสื้อแดงได้ เพราะเชื่อว่าคนไทยมีอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสีแดงเป็นสีในธงชาติไทย ไม่อยากให้แกนนำออกมาบิดเบือนหรือผูกขาดความเป็นเจ้าของสีแดง”
สรุปแล้วถ้าโยงปรากฏการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกันจะเห็นว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์และพลพรรคดำเนินการก็คือ การตอบสนองข้อเรียกร้องของสุรชัย จันทิมาธร ที่เรียกร้องให้เอาสีแดงคืนมาให้สังคมไทย เพราะสุรชัยและนายอภิสิทธิ์ต่างเข้าใจไปว่ากลุ่มคนเสื้อแดงผูกขาดสีแดง นายอภิสิทธิ์จึงแก้ไขแบบง่ายๆ โดยหยิบเสื้อแดงมาสวมเสียเอง แล้วถือว่าจะเป็นการเลิกการผูกขาดสีแดง
ความจริงแล้วคงต้องอธิบายว่าการใช้สีแดงสำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นการใช้สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือร่วมใจกันในลักษณะหนึ่งเพื่อสร้างความเป็นภราดรภาพในหมู่คณะ เช่นเดียวกับทีมฟุตบอลอย่างลิเวอร์พูล หรือเมืองทองฯ ยูไนเต็ด ก็ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์เช่นกัน และการใช้สีในเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์เองก็ใช้สีฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของพรรคมาเป็นเวลาช้านาน
ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ใช้สีเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองมาก่อนในระยะ 5 ปีมานี้คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำเอาสีเหลืองมาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เป็นเวลาก่อนหน้าที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์นานนับปี จึงน่าแปลกใจว่าเหตุใดกวีและนักแต่งเพลงคนสำคัญ เช่น สุรชัย จันทิมาธร ไม่เคยแสดงความเดือดเนื้อร้อนใจต่อการหายไปของแม่สีสำคัญเช่นสีเหลืองเลย
ในเบื้องต้นจะเห็นว่าการตีความของสุรชัย แม้กระทั่งนายอภิสิทธิ์เกิดจากความจงใจในการหลับตาเสียข้างหนึ่ง คือมองไม่เห็นว่านายสนธิและฝ่ายพันธมิตรฯนำสีเหลืองไปใช้ เพราะต้องการอิงแอบความชอบธรรมด้วยการอ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อผูกขาดความจงรักภักดี และใช้การอ้างอิงลักษณะนี้ใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่มีความจงรักภักดีเท่าพวกของตัวเอง ตลอดไปจนถึงใส่ความกันว่าฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงมีเป้าหมายในการล้มเจ้า เพื่อสร้างความเกลียดชังในสังคมให้มากขึ้น
ปรากฏว่าในระยะที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็อ้างอิงเอาข้อหาล้มเจ้ามาใส่ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง เช่น ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์กุเรื่อง “ผังล้มเจ้า” ขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายความชอบธรรมของขบวนการเสื้อแดง จากนั้นก็ใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างปราบปรามจนมีผู้เสียชีวิตถึง 98 คน บาดเจ็บนับพันคน และยังถูกจับเข้าคุกเป็นนักโทษการเมืองอีกนับร้อยคน ทำให้นายอภิสิทธิ์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดมาจนถึงทุกวันนี้
ความไม่เข้าใจหรือไม่รับทราบถึงความหมายของคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งมาจากอคติอันฝังแน่นของชนชั้นกลางในเมืองที่ดูถูกดูแคลนคนชนบทภาคอีสานว่าเป็นคนโง่และไร้เดียงสา มีแต่จะต้องตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองชั่ว สุรชัย จันทิมาธร รับเอาอคติอันนี้เข้าไว้ จึงเห็นแต่คนเสื้อแดงเป็นคนชนบทที่ถูกซื้อได้ และมีสถานะเป็นเพียงเครื่องมือของฝ่ายทักษิณ นี่คือเหตุผลที่นายกรณ์ส่งข้อความทิ้งทายว่า “อย่าให้เขาหลอกใช้ อย่าไปเป็นเครื่องมือใคร” นี่คือการมองคนเสื้อแดงในมิติแห่งอคติเช่นที่กล่าวมา
มีงานวิจัยหลายชิ้นในระยะก่อนหน้านี้ที่สำรวจแล้วว่าคนเสื้อแดงเป็นส่วนผสมของกลุ่มคนที่หลากหลาย มีทั้งคนชนบทและคนเมือง ชาวรากหญ้าและปัญญาชน มีทั้งฝ่ายนิยมชมชื่น พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก และกลุ่มที่เป็นกลาง หรือไม่ได้นิยม พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อน มีทั้งฝ่ายที่ไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบนายสนธิ และไม่ชอบฝ่ายพันธมิตรฯ แต่จุดร่วมที่แท้จริงของฝ่ายคนเสื้อแดงไม่ใช่สีเสื้อ หรือไม่ใช่ความรังเกียจเดียดฉันท์นายอภิสิทธิ์เป็นสำคัญ แต่อยู่ที่การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
กลุ่มคนเสื้อแดงจึงมีหลายกลุ่ม หลายเฉดสี มีความขัดแย้งภายในหลายเรื่อง มีทั้งกลุ่มที่สนับสนุน นปช. และกลุ่มไม่เอา นปช. มีกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเต็มที่ และกลุ่มที่เอือมระอาพรรคเพื่อไทย มีกลุ่มที่หมั่นไส้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และไม่ชอบ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แต่ทั้งหมดเป็นคนเสื้อแดงร่วมกันเพราะปรากฏการณ์ “ตาสว่าง” เพราะความไม่เห็นพ้องต่อความอยุติธรรมโดยศาล และเพราะความต้องการให้สังคมไทยมีการปฏิรูปการเมืองไปสู่ประชาธิปไตยที่เคารพในสิทธิและเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง
ดังนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงจึงมีความแตกต่างจากกลุ่มคนเสื้อเหลือง เพราะขณะที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองเป็นกลุ่มคับแคบ ต้องการผูกขาดความจงรักภักดี เดียดฉันท์และคุกคามผู้ที่มีความคิดต่าง แต่กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นกลุ่มเปิดที่ต้อนรับประชาชนทุกคนที่สนับสนุนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กลุ่มคนเสื้อแดงจึงไม่เคยประกาศผูกขาดสี ห้ามคนอื่นมาสวมเสื้อแดง ในทางตรงข้าม ในบทกวีของสุรชัยชี้ชัดว่าการไม่สวมเสื้อสีแดงนั้นมาจากความรังเกียจของสุรชัยเอง เพราะความคับแคบและอคติ เพราะหากสุรชัยเปิดใจกว้าง ลงมาพูดคุยถามไถ่พี่น้องเสื้อแดง ก็จะทราบข้อเท็จจริงของคนเสื้อแดงได้
แต่สุรชัยคงไม่กระทำ เพราะสิ่งที่สุรชัยเลือกในวันนี้คือ “จุดยืน” ที่ปฏิเสธประชาธิปไตย ปฏิเสธเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน และเลือกที่จะสนับสนุนกลุ่มสถาบันหลักในสังคมไทยแทน จุดยืนของสุรชัยจึงเป็นจุดยืนเดียวกับนายอภิสิทธิ์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับประชาชนในวันนี้
ดังนั้น ขอจบด้วยบทกลอนของวิสา คัญทัพ ที่เขียนบทกวีตอบโต้มีใจความว่า สีแดงคือเลือดประชาชนผู้ไร้สิทธิถูกไล่ยิงกลางถนน แต่ “เนาวรัตน์-สุรชัย” ไม่ได้ยิน จึงไม่มีใจให้สีแดง ดังนี้
ขอเรียนศาล เลือกข้างสี ที่ไม่เคารพ สีไม่ครบ เพราะถูกใช้ เติมใส่สี
ไประบาย เลือดไพร่ หาไม่ดี สาดกระสุนส่องวิถีดับชีวิต
สีแดงคือเลือดมหาประชาชน ผู้ทุกข์ทนคนไทยผู้ไร้สิทธิ์
ใช่คนปล้นสีไปไร้ความคิด เขาถูกปลิดชีพเชือดจนเลือดริน
กระหายดื่มสีแดงแห่งเลือดข้น จึงไล่ยิงกลางถนนคนใจหิน
เนาวรัตน์ สุรชัย ไม่ได้ยิน จึงลืมดิน ไม่มีใจ ให้สีแดง