เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ เพื่อเลือกประธานวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่าง หลังจาก พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ส.ว.สรรหา ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา เหตุศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก แต่รอลงอาญา 2 ปี ฐานขึ้นเงินเดือนตนเองสมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยนายนิคม ไวยรัชพานิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา ชนะนายพิเชต สุนทรพิพิธ ส.ว.สรรหา ด้วยคะแนน 77 ต่อ 69 เสียง ต่อไปนี้ เป็นวิสัยทัศน์ของนายนิคมที่แสดงต่อที่ประชุม รวมถึงการให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมภายหลังได้รับเลือก
ผมเองเป็นคน ชนบทแต่ทำหน้าที่ให้คนกรุงเทพมหานคร ทั้งชีวิตไม่เคยทำงานเอกชนมาก่อน เป็นข้าราชการโดยสายเลือด ทำหน้าที่เพื่อประชาชนมาโดยตลอด ตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองปลัดกรุงเทพมหานคร 4 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นบทพิสูจน์ได้เห็นได้รับรู้วิธีที่จะดำเนินการแก้ไขให้องค์กรรัฐสภาเป็น ที่พึ่งของประชาชน เป็นองค์กรที่ปราศจากครอบงำทางการเมือง เป็นองค์กรที่สมาชิกจะยืนอยู่ได้ด้วยเหตุและผล จึงขอเสนอวิสัยทัศน์อยู่ 4 ประการ เรียนให้ท่านสมาชิกรับทราบ
ประการที่ 1 จะส่งเสริมให้สมาชิกวุฒิสภามีความเป็นกลาง สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ในการประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมของรัฐสภาอย่างมีความเป็นกลาง มีความเป็นอิสระ ยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม คนที่เป็นประธานในการประชุมต้องมีความรอบรู้ มีความมั่นคงชัดเจน ในกฎระเบียบข้อบังคับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ปฏิบัติหน้าที่เอนเอียงไปตามกระแสสังคมหรือแรงกดดันของพรรค
ประการที่ 2 จะส่งเสริมและสนับสนุนให้การทำงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) มีความเข้มแข็ง กมธ.ถือเป็นองค์กรขนาดเล็กที่มีสมาชิก 95 คน เป็นผู้ที่ต้องมีความเชื่อมโยงกับประชาชน ต้องเข้าไปรับทราบ รับปัญหาแล้วนำมาแก้ไข จะทำอย่างไรให้งานมีความเป็นอิสระต้องสามารถนำผลงานการศึกษาของท่านนั้น เปรียบเทียบนำเสนอต่อรัฐบาลทางตรงคือ นำเข้าสู่การประชุมวุฒิสภา ถ้าไม่มีการนำเสนอออกไปถึงรัฐบาล ถึงประชาชน มันก็ไร้ค่า ตรงประเด็นนี้ ผมจะสนับสนุนให้มีความเข้มแข็ง และท่านสามารถนำผลงานออกเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ หรือสถานีวิทยุของรัฐสภา
ประการที่ 3 มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเข้มแข็งในการคัดกรองสรรหาบุคคลที่จะเข้าดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ ถ้าท่านปราศจากความเป็นธรรมแล้ว ผลที่ออกมานั้น องค์กรอิสระก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง เราจะต้องปฏิบัติหน้าที่ต้องติดตามให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติ หน้าที่ขององค์กรอิสระ
ประการสุดท้าย จะทำให้วุฒิสภาเป็นองค์กรหลักในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยประธานไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์เอง แต่กรรมาธิการสามารถเป็นตัวแทนเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน เราจะต้องเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
เมื่อผมได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา สิ่งแรกที่จะทำคือปรับโครงสร้างของวุฒิสภาหรือรัฐสภาให้สอดคล้องและสนับสนุนการทำงานของ ส.ว.
ผมคลุกคลีกับข้าราชการมานาน เข้าใจปัญหาโครงสร้างของรัฐสภาว่า เป็นการใช้งบประมาณหรือทำงานที่ซ้ำซ้อนวุฒิสภาไปอีกอย่าง สภาผู้แทนราษฎรไปอีกอย่าง เป็นการสิ้นเปลือง จะส่งเสริมให้ข้าราชการมีขวัญและกำลังใจเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการช่วยสนับ สนุนสมาชิก อย่างไรก็ตาม งบประมาณในส่วนของประธานวุฒิสภา ผมจะไม่เดินทางไปต่างประเทศ แต่จะเดินทางไปต่างจังหวัดทำภารกิจส่งเสริมประชาธิปไตยให้กับประชาชน ผมชอบงานแบบนี้มากกว่า จะนำเงินที่ไม่ไปดูงานต่างประเทศไปจัดสรรให้สมาชิกที่จะเดินทางไปดูงานต่าง ประเทศหรือเป็นตัวแทนของรัฐสภาในการประชุมไอพียู หรือไอป้า
ผมมีจุดแข็งในการเป็นข้าราชการมาตลอดชีวิตอยู่ทุกตำแหน่งของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานด้านการเงินการคลัง การแพทย์ การสาธารณสุข หรือเรื่องผังเมือง เป็นประสบการณ์ที่จะทำให้สามารถควบคุมการประชุมวุฒิสภาให้เป็นไปด้วยความ เรียบร้อย ทั้งนี้ ยังเป็นคนที่มีความจำดี แม่นยำในกฎข้อบังคับ
ขอยืนยันว่า ผมมีความเป็นกลางในการทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม จึงขอโอกาสเพื่อนสมาชิก ลงสมัครเป็นประธานวุฒิสภา ครั้งที่แล้วก็พลาดหวัง ครั้งนี้ขอโอกาสเป็นตัวแทนจากการเลือกตั้งของประชาชน แม้เวลาดำรงตำแหน่งจะเหลืออีก 1 ปีครึ่งเท่านั้น แต่เสียงของสมาชิกทุกท่านจะทำให้องค์กรวุฒิสภาเป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือได้
ผมขอบคุณสมาชิกทุกคนที่ลงคะแนนให้ แม้ในตอนต้นจะยังไม่มั่นใจว่าจะชนะ แต่หลังจากนี้ผมจะปฏิบัติหน้าที่ตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด ส่วนการอภิปรายในสภานั้น หลายท่านได้เห็นมาแล้วว่าผมมีความเป็นกลาง เพียงแต่ในบางครั้ง ผมอาจจะมีการอภิปรายที่ดูเหมือนจะสนับสนุนทางฝ่ายรัฐบาล จึงอาจถูกมองว่ามีเจตนาไม่เป็นกลาง
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าจะไม่ทำตามกระแสกดดันทางการเมือง แต่จะยึดหลักนิติรัฐนิติธรรมเป็นหลัก ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใด ผมก็สนับสนุนและหาทางออกเพื่อช่วยให้ประเทศเดินหน้า อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็จะให้การสนับสนุน เพื่อให้การทำงานบรรลุสู่เป้าหมาย ส่วนในเรื่องการปรองดองนั้น เห็นว่าต้องมีการทำความเข้าใจ และรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน
ส่วนการทำงานในฐานะรองประธานรัฐสภานั้น ไม่ต้องกังวล ผมจะทำหน้าที่โดยยึดตามกฎหมาย ข้อบังคับ อย่างเคร่งครัด ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการทำหน้าที่ มีความแม่นยำในเรื่องของข้อกฎหมาย เป็นคนที่ช่วยหาทางออกให้กับสังคม และช่วยทำให้บรรยากาศของสังคมไม่รุนแรง นี่เป็นบุคลิก
ประเด็นการคัดเลือกตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 แทนผมนั้น แล้วแต่สมาชิกในที่ประชุมจะเป็นผู้คัดเลือก ผมเชื่อว่า หากรองประธานคนที่ 1 มาจากสายเลือกตั้ง ก็ไม่น่ามีปัญหา อย่าไปแยกแยะว่ามาจากสายเลือกตั้งหรือสรรหา อย่างไรก็ตาม บทบาทของวุฒิสภาต่อจากนี้ไปก็จะต้องเป็นหลักให้กับบ้านเมือง
สำหรับการลงมติในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 นั้น ผมเห็นว่าสมควรที่จะให้หยุดในเรื่องนี้ไว้ก่อน เพื่อเอากลับไปดูว่ามีข้อบกพร่องตรงไหน อีกทั้งจะต้องนำกลับไปทำประชามติ เพื่อฟังความคิดเห็นของประชาชน ส่วนมาตราใดที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้แก้ไขเป็นรายมาตราไป
ส่วนในอนาคต เรื่องของ ส.ว. ที่ควรจะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหรือไม่นั้น ผมเห็นว่าการให้สิทธิแก่ประชาชนในการเลือกผู้แทนก็น่าจะเป็นหลักที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากมีการออกกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ จะเป็นการลิดรอนสิทธิของสมาชิกที่มีอยู่ ก็คงต้องหาแนวทางร่วมกันว่า ควรจะเสนอแนะที่มาของ ส.ว. ได้อย่างไร