พลิกแฟ้ม "กสม."-สอบ 98 ศพ สลายม็อบ "ไม่ละเมิดสิทธิฯ"

มติชน 21 สิงหาคม 2555 >>>




คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เปิดเผยร่างรายงานผลการตรวจสอบของอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทั้ง 9 ชุด ที่แต่งตั้งโดย กสม. จำนวน 80 หน้า เรื่อง กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม 2553 ทั้ง 9 กรณี มีหลายเหตุการณ์ที่มีความสลับซับซ้อน สังคมไม่สามารถรู้ความจริงได้ว่ากลุ่มใด หรือฝ่ายใด เป็นผู้กระทำหรือละเลยการกระทำเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน การตรวจสอบประกอบด้วยพยานบุคคล พยานเอกสาร วัตถุ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในแต่ละเหตุการณ์ ตลอดจนพยานผู้เชี่ยวชาญและทำการสังเคราะห์ สรุปผลดังนี้
กรณีที่ 1 การสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 สรุปว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ไม่ใช่การชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ข้อที่ 21 ในส่วนการกระทำของรัฐบาลในการรุกคืบเข้าปิดล้อมพื้นที่การชุมนุมเป็นการกระทำภายใต้กฎหมายที่ให้อำนาจไว้ และทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อผู้ชุมนุม แต่รัฐบาลต้องมีหน้าที่เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของรัฐบาลด้วย ซึ่งการปิดล้อมดังกล่าวรับบาลไม่สามารถวางแผนหรือบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ชุมนุม ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ รวมถึงทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องได้รับความเสียหาย ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ต้องชดเชยเยียวยาให้กับบุคคลเหล่านี้
กรณีที่ 2 เหตุการณ์กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากระเบิดเอ็ม 79 บริเวณแยกศาลาแดง เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 สรุปว่า มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าระเบิดเอ็ม 79 ทั้ง 5 ลูกถูกยิงมาจากทิศทางของกลุ่มผู้ชุมนุม และความร่วมมือของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ให้การช่วยเหลือในการจุดพลุตะไล ประทัด เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง จึงถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังเป็นการกระทำถึงขั้นเป็นความผิดกฎหมายอาญาอีกด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ให้การช่วยเหลือประชาชน ปล่อยให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเอง และมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาช่วยเหลือด้วย และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าควบคุมประชาชน โดยไม่มีการประกาศเตือนและบอกเหตุผลก่อน ไม่แยกแยะผู้ชุมนุมกับประชาชนทั่วไปเป็นการกระทำโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
กรณีที่ 3 เหตุการณ์กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีความเห็นว่า ยังไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะระบุได้ว่า ฝ่ายใดเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 นาย จากอาวุธปืน ประชาชนรวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีอาญาต่อไป
กรณีที่ 4 เหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทย และการบุกเข้าไปตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า การกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งในส่วนของแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วย
กรณีที่ 5 เหตุการณ์กรณีการสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553 รวมทั้งเหตุการณ์ต่อเนื่องเกิดการจลาจลการวางเพลิง และการทำลายทรัพย์สิน อาคาร สถานที่ของเอกชน รัฐ และรัฐวิสาหกิจ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. เป็นการชุมนุมด้วยความไม่สงบ จึงเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความมั่นคงภายในประเทศ รัฐบาลจึงสามารถใช้อำนาจในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งในการกำหนดมาตรการปิดล้อมพื้นที่สี่แยกราชประสงค์และบริเวณโดยรอบตั้งแต่วันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553 โดยให้เจ้าหน้าที่ทหาร สามารถใช้อาวุธปืนป้องกันตนเองได้ ถือว่าเป็นกรณีที่รัฐบาล กำหนดขึ้นโดยความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก. ดังกล่าวและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 วรรค 2 กรณีนี้จึงไม่ละเมิดต่อเสรีภาพในการชุมนุมของ นปช. แต่ด้วยความด้วยประสิทธิภาพในการจัดการของรัฐบาลทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบ รัฐบาลจึงต้องเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายด้วย
กรณีที่ 6 เหตุการณ์กรณีที่มีผู้เสียชีวิต 6 ศพ และการกระทำในรูปแบบอื่นๆ ในบริเวณวัดปทุมวนารามระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2553 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า จากลักษณะทิศทางของกระสุนที่ปรากฏบนศพบางศพ มีลักษณะถูกยิงจากบนลงล่าง สันนิษฐานได้ว่าผู้ยิงอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า และตามข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ ทหารปฏิบัติหน้าที่่อยู่บนรางรถไฟฟ้า หน้าวัดปทุมวนาราม จึงอาจเป็นไปได้ว่าความเสียหายกรณีการเสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนหนึ่งย่อมเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ รัฐจึงมีหน้าที่ชดใช้ เยียวยาความเสียหายกับผู้ได้รับผลกระทบ และต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริง และหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ
กรณีที่ 7 เหตุการณ์กรณีนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2553 และการดำเนินการเพื่อระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล (พีทีวี) ตลอดจนการระงับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสถานีวิทยุชุมชน สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออินเตอร์เน็ต คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า รัฐมีอำนาจตาม พ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ในการระงับมิให้มีการเผยแพร่การปราศรัยในลักษณะยั่วยุ ปลุกระดม ผู้ชุมนุมให้ก่อความรุนแรง ของสถานีโทรทัศน์พีทีวี รวมถึงสามารถระงับการเผยแพร่ข่าวสารของสื่ออินเตอร์เน็ต และสถานีวิทยุชุมชนด้วย แต่ในการปิดกั้นการเสนอข่าวสารทางเว็บไซต์ นั้น พบว่าหลายเว็บไซต์ที่ถูกปิดกั้น นอกจากมีเนื้อหาเผยแพร่ข่าวสารที่อาจกระทบต่อความมั่นคงแล้ว ยังมีเนื้อหาสาระอื่นที่หลากหลายไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารต้องห้าม ดังนั้น การสั่งการของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ ผอ.ศอ.รส. และ ผอ.ศอฉ. รวมทั้งการดำเนินการของกระทรวงไอซีที เป็นการลิดรอนเสรีภาพของสื่อ และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
กรณีที่ 8 เหตุการณ์กรณีการชุมนุมและการเคลื่อนขบวนของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม-20 พฤษภาคม 2553 ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมตลอดจนการชุมนุมปิดล้อมอาคารสถานที่ต่างๆ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รัฐสภา กองทัพภาคที่ 1 เป็นต้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีความเห็นว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการที่มีแพทย์ และพยาบาลในกลุ่ม นปช. เจาะเลือดผู้ชุมนุมเพื่อนำไปเทที่พรรคประชาธิปัตย์ และทำเนียบรัฐบาล ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อวิชาชีพตนเอง และละเมิดต่อผู้ที่รับการเจาะเลือดด้วย และยังผิดกฎหมายอาญา ฐานรุกเข้าไปยังเคหสถานผู้อื่น ในการเทเลือด
และกรณีที่ 9 เหตุการณ์การเสียชีวิต และบาดเจ็บ ตลอดจนความรุนแรงต่อสื่อมวลชนในรูปแบบอื่นๆ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีความเห็นว่า รัฐมีหน้าที่รับผิดชอบเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ และครอบครัว และเห็นว่ากรณีที่มีกลุ่มคนยึดรถถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ถือเป็นการคุกคามสื่อ ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 45
คณะกรรมการสิทธิฯได้มีข้อเสนอแนะในเชิงนโยบายและมาตรการการแก้ปัญหา รวม 7 ข้อ แนบมาด้วย คือ
1. รัฐบาลต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงและติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ โดยเฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 และกรณีผู้เสียชีวิตวัดปทุมวนาราม รวมถึงการวางเพลิงเผาทรัพย์
2. เร่งเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย และได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
3. สังเคราะห์บทเรียนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่ การสร้างกลไก และกระบวนการป้องกัน แก้ไข เยียวยาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต
4. การประกาศใช้กฎหมายพิเศษ เพื่อดูแลการชุมนุม ต้องเป็นไปเท่าที่จำเป็น ตามความฉุกเฉินของสถานการณ์และกำหนดกรอบการใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจน
5. ต้องทบทวนร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะ เพราะมีเนื้อหาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ที่ต้องส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุม โดยสงบ และปราศจากอาวุธ
6. รัฐบาลต้องเคร่งครัดปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ที่ให้หลักประกันทางเสรีภาพในการแสดงความเห็นของสื่อมวลชนและประชาชน และต้องให้เกิดการปฏิรูปสื่อตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างไม่ชักช้า และ
7. รัฐบาลต้องสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปประเทศไทยที่เกิดจากการผลักดันของภาคประชาสังคมเพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม อาทิ การปฏิรูปที่ดิน การปฏิรูประบบภาษี ระบบความยุติธรรม ระบบการศึกษา ระบบสังคมสวัสดิการ และกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง เป็นต้น