ยันจุดยืนนายกฯ ปูไม่ถอย แต่อยากลดขัดแย้ง

ข่าวสด 29 กรกฎาคม 2555 >>>




′ปู′ ยันไม่ถอย ย้ำจุด ยืนนายกฯ-รัฐบาล แต่ที่เหมือนช้าเพราะต้อง การลดความขัดแย้ง เห็น การมีส่วนร่วมและความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ยึดหลักความสมดุลการเมือง ชี้ พ.ร.บ.ปรองดอง ปล่อยเป็นไปตามกลไกสภา ส่วนแก้ รธน. เหมือนสร้างบ้านใหม่ต้องทำด้วยกัน เผยเดินทางไป 17 ประเทศทุกประเทศต่างยอมรับรัฐบาลจากประชาชน เปิดใจ 1 ปีผ่านไปเร็ว ทำงานไม่รู้วันรู้เดือน ′สุรนันทน์′ รวมผลงานจัดแถลง 1 ปีรัฐบาล 23 ส.ค. นี้ เดินหน้าบัตรเครดิตเกษตรกร ฟรีไวไฟ ปัดฝุ่น 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อไทยสัมมนาพรรคก่อนเปิดสภา 1 ส.ค. วางหมากศึกรธน. พ.ร.บ.ปรองดอง ซักฟอก ′อ๋อย′ แนะแก้บางมาตรา อ้วน-ภูมิ ธรรมเล็งเปิดพื้นที่ข่าวออนไลน์-ดึงวัยโจ๋ร่วม หวังเพิ่มสมาชิกพรรค

พท. สัมมนาก่อนเปิดสภา 1 ส.ค.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ก.ค. ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ จอมเทียน พัทยา จ.ชลบุรี มีการสัมมนาพรรคเพื่อไทยภายใต้หัวข้อ ′เพื่อไทย เพื่อประชาธิปไตย เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย′ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก บรรดาแกนนำ รัฐมนตรี ส.ส. รวมถึงสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทยซึ่งพ้นโทษตัดสิทธิ์ทางการเมืองเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย ผอ.พรรคเพื่อไทย นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ วาระสำคัญคือความชัดเจนของพรรคเพื่อไทยต่อการหาทางออกในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมการกำหนดทิศทางการทำงานการเมืองของพรรคก่อนเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปในวันที่ 1 ส.ค. นี้ ทั้งนี้บริเวณโดยรอบสถานที่จัดงานมีเจ้าหน้าที่ ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 100 นายคอยรักษาความปลอดภัย

ถกผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปี

ช่วงแรกเป็นการสัมมนา ′ทิศทางการทำงานการเมืองของพรรคเพื่อไทย′ โดยในหัวข้อ ′ในช่วง 1 ปี รัฐบาลเพื่อไทย : ผลสำเร็จและความพึงพอใจ′ มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมสัมมนา ทั้งนี้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวเปิดสัมมนาตอนหนึ่งว่า หลังเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร 1 ส.ค. มีหลายเรื่องที่พรรคต้องเตรียมพร้อม ทั้งเรื่องร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง การแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การสัมมนาครั้งนี้จึงหวังว่าจะทำให้มีการปรับปรุงความแข็งแรงของพรรค เพราะวันนี้มีคนกลับมาร่วมงานกับพรรคเพิ่มขึ้น จะได้ช่วยกันทำ ให้พรรคแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
จากนั้นแกนนำพรรคและรัฐมนตรีของเพื่อไทยได้กล่าวในการสัมมนาโดยส่วนใหญ่พูดถึงผลงานของรัฐบาลในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และบอกถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่เคยหาเสียงเอาไว้แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการหลังรัฐบาลแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีในวันที่ 23 ส.ค. นี้

เหลิมท้ายื่นซักฟอกพ่วงถอดถอน

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า หลัง ครม. เห็นชอบให้ตั้งศูนย์ตรวจสอบการทุจริตในทุกกระทรวงโดยมีตนเป็นประธาน เรื่องหลักที่จะตรวจสอบเร่งด่วนคือการรับจำนำข้าว การจ่ายเงินเยียวยา งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยืนยันว่าการตรวจสอบเอาจริง ถ้าพบว่าคนของเราเกี่ยวข้องก็ไม่มีเว้น จะเอาหน่วยงานต่างๆ มาช่วย เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบ สวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ยืนยันว่าเอาจริง ไม่ผิดก็ไม่ผิด ผิดก็ต้องผิด
   ′ถ้ารัฐบาลไม่ทุจริตก็อยู่ครบ 4 ปี กับอีก 4 ปี ครบ 8 ปีแล้วว่ากันใหม่ มีคนบอกสภาจะเดือดหลัง 1 ส.ค. บอกได้เลยว่าคนเดือดร้อนไม่ใช่รัฐบาล แต่เป็นฝ่ายอื่น เพราะกำลังโดนตรวจสอบเรื่องเงิน 520 ล้านเข้าบัญชีเมีย ไปบุกรุกที่สาธารณะ ดีเอสไอกำลังสอบสวนอยู่ คนนอนไม่หลับคือฝ่ายค้าน การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจถ้าไม่มีการทุจริต ถ้าถามเชิงบริหารมาก็ตอบไป แต่ถ้าบอกว่ารัฐบาลทุจริตฝ่ายค้านต้องยื่นถอดถอนด้วย และจะอภิปรายได้ต้องมีข้อมูลเอกสารประกอบมาแสดง เรื่องการสอบสวนคดีต่างๆ ผมก็ถามธาริต เพ็งดิษฐ์ ว่าเรื่องผังล้มเจ้าเป็นอย่างไร ธาริตบอกไม่ผิด ก็ให้ไปแถลง ถามเรื่องชายชุดดำอยู่ไหน เขาบอกไม่มี ไม่มีก็ไปแถลง ขอบอกสมาชิกเสื้อแดงเรื่องคดีชันสูตรพลิก ศพตอนนี้ใกล้จะรู้แล้วว่าใครเป็นคนสั่ง เรื่องนี้จะเอาเอกสารให้นายภูมิธรรม เวชยชัย ผอ.เพื่อไทย ไปแจกให้สมาชิกพรรคต่อไป′ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าในฐานะรับผิดชอบเรื่องปราบปรามยาเสพติด รัฐบาลอยู่มา 11 เดือนปราบยาเสพติดมากว่ารัฐบาลพรรคประชาธิ ปัตย์ 2 ปี 8 เดือน ผลงานยาเสพติดสอบสวนจับกุมได้กว่า 3 แสนคดี มีผู้ต้องหากว่า 3 แสนราย ยึดยาบ้ากว่า 61 ล้านเม็ด เฮโรอีน 224 กิโลกรัม อายัดทรัพย์แล้วพันกว่าล้าน จับกุมไม่ได้คนเดียวคือนะคะมุยที่อยู่ฝั่งพม่า

โต้งเผยรถ-บ้านหลังแรกคืบ

ด้านนายกิตติรัตน์กล่าวว่ารัฐบาลหวังว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 7 ต่อปีโดยไม่รวมเรื่องเงินเฟ้อ โดยตั้งงบประมาณขาดดุลในปีนี้อยู่ที่ 3 แสนล้านบาท น้อยกว่าปีก่อนๆ ถึง 1 แสนล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะลดงบประมาณขาดดุลลงไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ภาวะสมดุลงบประมาณในอีก 4 ปีข้างหน้าให้ได้ เรื่องโครงการต่างๆ เช่น รถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก ทั้งหมดกำลังดำเนินการไปอย่างก้าวหน้า รถคันแรกตอนนี้ยอดสั่งจองมีมาก จนคนเกรงว่าหากจองแล้วรับรถไม่ทันสิ้นปีจะได้สิทธิดังกล่าวหรือไม่ เรื่องนี้จะนำไปหารือในที่ประชุม ครม. สัญจรที่สุรินทร์วันจันทร์นี้ เชื่อว่าครม.คงเห็นชอบให้คงสิทธิไว้ คือหากจองไปแล้วแต่ไม่ได้รับภายในสิ้นปีก็ยังคงได้รับสิทธิ แต่ห้ามเปลี่ยนสิทธิคือห้ามเปลี่ยนชื่อเอาใบจองไปเก็งกำไร โครงการรับจำนำข้าวที่กำลังโดนโจมตีขอให้มั่นใจว่าข้าวที่รับมาจะขายได้ สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินการโดยที่ไม่มีรัฐบาลชุดไหนกล้าก็คือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานประเทศ โดย เตรียมออก พ.ร.บ. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงินประมาณ 2 ล้านล้านบาท แต่ไม่ใช่ทำปีเดียวเลย ถ้าทำแล้วจะทำให้ประเทศเข้มแข็ง

เดินหน้าบัตรเกษตรกร-ฟรีไวไฟ

ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีภาวะผู้นำนายกรัฐมนตรีสูงมาก กล้าตัดสินใจ ตัดสิน ใจด้วยตัวเองตลอด แต่ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า สิ่งสำคัญคือมีน้ำใจ เอื้ออาทร ทุกเรื่องนายกรัฐมนตรีจะถามก่อนว่าประชาชนได้อะไร ′เดือน ส.ค. นี้จะคึกคักเพราะเปิดสภา 1 ส.ค. และ 23 ส.ค. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำงานครบ 1 ปี ตอนนี้กำลังรวบรวมผลงานรัฐบาลต่างๆ เพื่อแถลงผลงานรัฐบาล พรุ่งนี้ (29 ก.ค.) ครม. สัญจรที่สุรินทร์จะเปิดตัวนโยบายบัตรเครดิตเกษตรกร และ 3 ส.ค. จะเปิดตัวนโยบายฟรีไวไฟ ตามด้วยการกลับมาของโครงการ 30 บาทรักษาฟรีทุกโรคเพื่อรักษาศักดิ์ศรีมนุษย์ ยืนยันปีนี้จะไม่เกิดน้ำท่วมใหญ่อีกแล้ว′ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวในห้องสัมมนา

ยิ่งลักษณ์เปิดใจ 1 ปีผ่านไปเร็ว

เวลา 12.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ′ก้าวต่อไป ? รัฐบาลเพื่อไทย : มุ่งมั่น ตั้งใจ รับใช้ประชาชน′ ว่า วันที่ 23 ส.ค. นี้ รัฐบาลจะทำงานครบ 1 ปี ตนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะทำงานไม่รู้วันรู้เดือน ความท้า ทายต่างๆ เข้ามามาก ก่อนหน้าที่ตนจะลงพื้นที่หาเสียงประเทศก็ประสบภาวะมหาอุทกภัย แม้ยังบริหารประเทศไม่ได้เนื่องจากยังไม่ได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาตนก็ลงพื้นที่ รัฐบาลยังไม่ทันได้รับใช้ประชาชนก็ต้องมารับมือกับมหาอุทกภัยแล้ว วันนั้นรู้สึกพูดไม่ออก ความทุกข์ใจคนทั้งประเทศคือภาระอันหนักอึ้งของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องแบกไว้ในวันที่เดินเข้าสภา
   ′วันแรกน้ำท่วมหมด น้ำเต็มเขื่อน นี่คือสิ่งแรกที่เจอในวันทำงาน จากนั้นก็พบว่าโครง สร้างต่างๆ ที่ใช้บริหารจัดการน้ำ ประตูระบาย น้ำ เครื่องสูบน้ำ ไม่อยู่ในสถานะที่พร้อมจะรับมืออุทกภัยขนาดนี้มาก่อน เมื่อจะระบายน้ำก็ไม่มีที่ให้น้ำระบายออก ยังไม่รวมถึงคูคลองต่างๆ ที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง จึงเห็นอาการที่น้ำล้นออกจากคลองจนไปท่วมขังบ้านเรือนประชาชน วันนั้นเราสั่งเครื่องสูบน้ำหมดแล้วทุกพื้นที่ต้องสั่งนำเข้า ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นกันทั้งภูมิภาค′ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

เร่งพร่องน้ำ-ไม่ลืมหัวอกคนปทุมฯ

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า หลายคนบอกว่ารัฐบาลไม่เป็นเอกภาพในการแก้ปัญหา ข้อเท็จจริงคือเรายังไม่ได้เชื่อมข้อมูลที่เกี่ยวกับน้ำและการพยากรณ์อากาศทั้งหมด ต้องเข้าใจว่าหน่วยงานเกี่ยวกับน้ำมีถึง 12 หน่วยงาน การจะมาบูรณาการงานในเวลาเดียวกันจึงยากลำบาก สิ่งที่ได้กลับมาจากมหาอุทกภัยในครั้งนี้คือความสามัคคีของคนไทยทั้งประเทศ การที่รัฐบาลอยู่ได้เพราะความรักที่คนไทยมีให้กัน
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่าการพร่องน้ำในเขื่อนวันนี้เหลือน้ำในเขื่อนอยู่ที่ 45-55 ล้าน ลบ.ม. น่าจะรับน้ำได้ 15,000 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้ได้สร้างฝายชะลอน้ำ 2,800 แห่ง พร้อมทั้งเร่งฟื้นฟูพื้นที่แก้มลิง รวมกับการหาพื้นที่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ การซ่อมแซมประตูระบายน้ำทั้งหมดจะรับน้ำได้อีก 5,000 ล้าน ลบ.ม. ส่วนพื้นที่ตอนปลายจะเร่งระบายน้ำเต็มที่ด้วยการขุดลอกคูคลอง และนโยบายเชื่อม 25 ลุ่มน้ำตามแนวพระราชดำริยังคงอยู่ ความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ จ.ปทุมธานี อยู่ในใจตนตลอดไม่เคยลืม โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่หลังแนวบิ๊กแบ๊กที่เดือดร้อน วันนี้รัฐบาลเตรียมติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดสำคัญทั้งหมด พร้อมตั้งเครื่องระบายน้ำให้ ภายในเดือน ส.ค. นี้จะมีเว็บไซต์ความคืบหน้าโครงการแก้ปัญหาน้ำเพื่อให้ประชาชนติดตามการแก้ไขปัญหา

เผย 17 ปท.ยอมรับรัฐบาล ปชช.

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจว่า เมื่อเจอปัญหาอุทกภัยธรรมชาติเศรษฐกิจก็หดตัว ปลายปี 54 เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวร้อยละ 0.1 วันนี้รายได้หลักมาจากการส่งออก จากนี้สัดส่วนในประเทศจะพยายามไม่พึ่งพาเศรษฐกิจโลก จึงเป็นที่มาของนโยบาย 16 นโยบาย ที่เราจะทำให้เสร็จภายในวันที่ 23 ส.ค. นี้ รวมถึงการลดรายจ่าย สร้างรายได้ ขยาย โอกาส ต้องทำควบคู่กันไป พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศที่คาดหวังว่าในปีนี้เศรษฐกิจจะเติบโตร้อยละ 5.5 ทุกครั้งที่เดินทางไปต่างประเทศตนมีเป้าหมายว่าต้องดึงนักลงทุนเข้ามาในประเทศให้ได้
   ′จากการเดินทางไป 17 ประเทศ รัฐบาลได้รับการยอมรับอย่างมาก เพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยเฉพาะการยอมรับจากยุโรปที่เราไม่ได้เดินทางไปเจรจามานานกว่า 17 ปี ต่างชาติสนใจเรื่องการเคารพเสียงประชาชนมาก ทำให้เป็นจุดที่จะเกิดเศรษฐกิจขึ้น เพราะเขามั่นใจว่าจะได้รับความเสมอภาค โปร่งใสในการลงทุน การที่เราได้รับการยอม รับจากต่างประเทศ เพราะเราได้รับการยอมรับจากประชาชน ขอบคุณที่ทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยแท้จริง′ นายกรัฐมนตรี กล่าว

แก้ รธน. เหมือนสร้างบ้านใหม่ด้วยกัน

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่าการเมืองในวันนี้ตนมี 2 บทบาท คือเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีที่ต้องดูแลคนทั้งประเทศ เป็นความภูมิใจและจะทำอย่างไรที่จะประคองเรื่องส่วนรวมให้ได้มากที่สุด หลายครั้งรัฐบาล ถูกมองว่าตัดสินใจไม่ดีตัดสินใจช้าหรือถอยนั้นตนขอยืนยันจุดยืนว่าเราไม่ถอย แต่สิ่งที่ช้าหรือดูเหมือนถอยเพราะต้องการลดความขัดแย้งโดยที่เห็นการมีส่วนร่วมและความเป็นประชา ธิปไตยที่แท้จริง ตนยึดหลักความสมดุลในการทำงานการเมือง ส่วนจุดยืนที่ให้ไว้กับประชาชน ต้องคงอยู่ จุดยืนเรื่องประชา ธิปไตยก็ต้องเดิน สิ่งที่ต้องทำคือทำอย่างไรที่จะลดบรรยากาศความขัดแย้ง ประสานความเข้าใจ พร้อมเร่งเดินหน้าสร้างความเข้าใจกับประชาชน สิ่งที่เป็นเป้าหมายของพรรคและรัฐบาล คือให้ประเทศเดินหน้า สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น เชื่อว่าไม่มีใครจะปฏิเสธ แต่วิธีการต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้เดินหน้า
   ′การแก้ไขรัฐธรรมนูญเหมือนสร้างบ้านใหม่ด้วยกัน จะทำอย่างไรจึงจะประคองความเข้าใจตรงกัน เราต้องมีเป้าหมายร่วมกันก่อน ด้วยมือเพียงมือเดียว รัฐบาลเพียงคนเดียว หรือตนเพียงคนเดียวคงไม่สำเร็จที่เราจะเดินไปด้วยกัน ขณะที่ ส.ส. มีหน้าที่ลงพื้นที่ดูแลประชาชน และต้องร่วมกันทำงานในสภาให้เป็นกลไกที่แข็งแรง ถ้าเราทำบทบาทนี้ได้ดีรัฐบาลก็จะแข็งแรงมีเสถียรภาพ ประชาชนไว้ใจให้เราทำหน้าที่ต่อไปอย่างมั่นคงถาวร′ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

เดินหน้าเร่งสร้างปรองดอง

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการปาฐกถาบนเวทีจะถอยเพื่อลดความขัดแย้งในเรื่องรัฐธรรมนูญและปรองดอง พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่าเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลใช่หรือไม่ว่า เราพูดถึงภาพรวมในจุดยืนเรื่องการยอมรับกระบวนการประชาธิปไตย และให้เกิดความเสมอภาค ซึ่งจะต้องเดินหน้า แต่วิธีการต้องใช้หลักความสมดุล ทำอย่างไรให้ลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจ คือสิ่งที่เราต้องเร่งทำ เพื่อไปหาคำตอบที่จะทำอย่างไรให้ประเทศเกิดความสามัคคีปรองดองและก้าวไปข้างหน้าได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของสภาต้องถอยเรื่องปรองดองออกไปก่อนหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภา รัฐบาลถือว่าเรื่องนี้เข้าสู่สภาแล้ว ปล่อยให้กลไกสภาหารือ ส่วนที่พูดบนเวทีสัมมนาเป็นการพูดถึงภาพรวม ไม่ว่าการบริหารประเทศหรือการทำงานอะไรก็ต้องยึดหลักนี้ เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราและคนไทยอยากเห็นคือประเทศมีความสงบสุข การพูดจา สร้างความเข้าใจ การมีส่วนร่วม เป็นสิ่งที่ต้องเร่งทำ ถ้าทุกคนมีความเข้าใจและมีเจตนาเดียวกันการทำงานต่างๆ ก็จะง่ายขึ้นและเป็นที่ยอมรับ

คนเดียวทำไม่ได้ต้องช่วยกัน

ต่อข้อถามว่าฝ่ายค้านจะเข้าใจท่าทีของรัฐบาลหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่านี่เป็น การพูดปาฐกถา ยังไม่ได้ประชุมคณะรัฐมนตรีเลย ต้องประชุมคณะรัฐมนตรีกันก่อน และจะหยิบยกเรื่องนี้เข้าหารือด้วย นอกจากการพิจารณาตามที่กฤษฎีกาจะนำรายละเอียดคำพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดมาชี้แจง บรรยากาศทางการเมืองเราต้องช่วยกันทำ ความเข้าใจ มือเพียงมือเดียว คนเดียวทำไม่ได้ เมื่อถามว่ามั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถ้าเราดูแลประชาชนให้ ส.ส. ลงพื้นที่ ทำตามนโยบายที่ให้ไว้กับประชาชน เชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาสไม่ว่าจะครั้งหน้าหรือ ครั้งใดก็ตาม

โภคินติงแก้ รธน. อย่าใช้อารมณ์

ต่อมาเวลา 14.00 น. มีการสัมมนา ′บท บาทด้านนิติบัญญัติ : การพัฒนาประชาธิปไตยและการสร้างความปรองดองแห่งชาติ′ นายโภคิน พลกุล อดีตประธานสภากล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำอย่างรอบคอบ และที่สำคัญคือรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องทำความเข้าใจกับประชาชนถึงเหตุผลและความจำเป็น ในรัฐสภาหากใช้อารมณ์หวังชนะ หรือบางฝ่ายถอดใจก็อยู่ไม่ได้ทั้งสิ้น ต้องแก้อย่างมีดุลยภาพ มีจังหวะที่เหมาะสม ทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจว่ารัฐบาลไม่ได้มี หน้าที่บริหารประเทศอย่างเดียว แต่ต้องการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความไม่เป็นธรรม และรัฐธรรมนูญมีสองมาตรฐาน

อ๋อยแนะทางออกแก้บางมาตรา

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ปัญหาใหญ่สุดของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคือ การนำมาตรา 68 เรื่องการล้มล้างการปกครองมาตรวจสอบการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐสภาที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เป็นการแทรกแซงการทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ โดยอ้างประชาชนมายกอำนาจให้ตัวเองเหนือกว่าฝ่ายนิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญได้เพิ่มเขี้ยวเล็บเป็นกงจักรสังหารที่สามารถวินิจฉัยได้ทุกมาตราในรัฐธรรมนูญ หากจะให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย พ้นวิกฤต ต้องทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นประชา ธิปไตย หากกติกาไม่เป็นประชาธิปไตยก็ไม่มีทางเกิดความปรองดองได้ การจะเดินหน้าลงมติวาระ 3 ต้องคำนึงถึงผลทางการเมืองที่จะตามมา และต้องถามว่าจะมีเสียง ส.ส. และ ส.ว. เกินครึ่งหรือไม่
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า การใช้วิธีคาร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 ไว้เฉยๆ เห็นว่าทำไม่ได้ เพราะเป็นการขัดมาตรา 291 ที่ต้องโหวตลงมติร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านวาระ 1 และ 2 แล้ว ขณะที่การแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา คงต้องแก้หลายสิบหรือเป็นร้อยมาตราเป็นอย่างน้อย คงใช้เวลา 9 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้นั่นเอง แต่ถ้าแก้ไขเป็นบางมาตราคิดว่าน่าสนใจ เช่น แก้มาตราที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้รัฐธรรมนูญได้แก่ มาตรา 68

พท. เสียงแตก ′ลุยโหวต-ค้างไว้′

ภายหลังการบรรยายได้เปิดโอกาสให้ ส.ส. แสดงความเห็น หลายรายตั้งคำถามถึงท่าทีของพรรคต่อการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาทิ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอว่าในเมื่อพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ และเราเดินทางมาถูกทางแล้ว ก็ขอให้เดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ต่อ โดยขอเสนอให้เป็นมติจากที่ประชุมในวันนี้ได้หรือไม่ เช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง วันนี้อยากให้คำนึงถึงจิตใจประชาชนที่สนับสนุน จึงอยากให้พรรคมีมติในระดับหนึ่ง
ด้านนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธาน วิปรัฐบาล แย้งว่าบรรยากาศขณะนี้ยังมีความสับสนเรื่องรัฐธรรมนูญ เพราะหลายคนก็ไปพูดไม่ถูกต้อง ประกอบกับรัฐบาลเปิดให้มีเวทีสานเสวนาของประชาชน ดังนั้นขอให้หยุด ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ไว้ช่วงหนึ่งก่อน เช่นเดียวกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการ ผอ.เพื่อไทย ที่กล่าวว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้เกิดจากความนึกคิด แต่มาจากเหตุผลการสำรวจต่างๆ ที่ประชาชนต้องการเห็นความปรองดอง แต่เราอยู่ในสังคมที่มีความขัดแย้งบาดลึก ดังนั้นต้องใช้เวลา ส่วนตัวคิดว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ต้องค้างพิจารณาเอาไว้ก่อน เพราะคนไม่น้อยยังอยากเห็นสังคมไทยสงบ

เร่งทำความเข้าใจประชาชน

จากนั้นมีการเสวนา ′การปรับขบวนพรรคเพื่อไทย การเสริมความเข้มแข็งพรรคและการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน′ โดยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงจุดยืนการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ส่วนตัวเห็นตรงกับนายกรัฐมนตรีที่ระบุว่าจุดยืนพรรคไม่เปลี่ยนแปลง แต่ระหว่างนี้ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับประชาชน ในการประชุม ส.ส. กลุ่มย่อยวันที่ 29 ก.ค. คงจะเห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้น แต่คงยังสรุปไม่ได้ เพราะต้องไปรอฟังความเห็นจากพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งในวันที่ 31 ก.ค. นอกจากนี้การแก้ไขรัฐ ธรรมนูญจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ส.ส.ด้วย เพราะต้องพยายามสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อขยายฐานสมาชิกออกไป ชี้ให้เห็นว่าแก้ไปทำไม ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร

′อ้วน′ ขยายฐานสมาชิก-เจาะวัยโจ๋

นายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวถึงบทบาทการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนว่า จากข้อมูล สมาชิกพรรคเพื่อไทยเหลือเพียง 7 หมื่นคน แตกต่างจากสมัยพรรคไทยรักไทยมีถึง 15 ล้านคน เนื่องจากกฎระเบียบข้อกฎหมายการเป็นสมาชิกพรรคที่ยุ่งยาก ทั้งที่คนสนับสนุนพรรคไม่ได้หายไปไหน หากสร้างกลไกขยายฐานสมาชิก การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือขับเคลื่อนเรื่องปรองดองจะง่ายขึ้น ฝันอยากเห็นสมาชิกพรรคให้ได้ 15 ล้านคนเหมือนเดิม หาก ส.ส. เข้ามามีส่วนร่วม 2 เดือนอาจได้สมาชิกพรรคเพิ่มถึง 2.5 ล้านคน นอกจากนี้บทบาทสื่อทางออนไลน์ก็สำคัญ เราต้องปรับระบบ ถ้าส่วนกลางปรับระบบอินเตอร์เน็ตให้ ส.ส. สามารถสร้างกลไกให้เป็นเวทีขยายต่อไปได้ จะเป็นประโยชน์มากในการส่งต่อข้อมูล ไปให้ประชาชน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ บอกชัดว่าความรู้คืออำนาจ ถ้าเราสร้างกลไกข่าวสารออนไลน์ได้ตรงนี้จะเป็นพลังมหาศาล ขณะที่บทบาทการมีส่วนร่วมของเยาวชนก็สำคัญ จะรื้อฟื้นเวทีเยาวชนที่เคยทำในอดีตเพื่อให้เขาเข้ามามีบทบาทหรือนำไปสู่การขยายข้อมูลทางโลกออนไลน์ได้มากขึ้นเช่นกัน

ปธ. วิปเผยแค่ระดมความเห็นพรรค

นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ก่อนการสัมมนาถึงทิศทางของพรรคเพื่อไทยต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ในการสัมมนาครั้งนี้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัด เจนว่าพรรคเพื่อไทยจะเลือกเดินแนวทางใดระหว่างการแก้ไขรายมาตรา หรือทั้งฉบับ แต่จะระดมความคิดเห็นเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละแนวทางของสมาชิกพรรคร่วมกับกรรมการยุทธศาสตร์ จากนั้นจะสรุปเป็นรายงานเพื่อนำไปหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งในงานเลี้ยงสังสรรค์พรรคร่วมรัฐบาลวันที่ 31 ก.ค. นี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ พรรคเพื่อไทยมีเสียงแค่ 264 เสียงคงไม่พอที่จะดำเนินการโดยลำพัง ยอมรับว่าผลจากการที่ศาลมีคำวินิจฉัยอาจทำให้เสียงสนับ สนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญลดลงจากการออกเสียงครั้งที่ผ่านมา

แม้ววิดีโอลิงก์ปาร์ตี้เพื่อไทย

จากนั้นช่วงค่ำ มีการจัดเลี้ยง ส.ส. และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในเวลา 19.45 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วิดีโอลิงก์มายังงานเลี้ยงกล่าวว่า ยินดีต้อนรับสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลับมาอีกครั้ง และขอขอบคุณหลายคนที่ไปอวยพรวันเกิด ปีนี้อบอุ่นเป็นพิเศษ อยากบอกทุกคนว่าตนอยู่ด้วยตลอดเวลาทุกที่แม้ตัวไม่อยู่แต่ใจอยู่ด้วย พวกท่านจะทำอะไรก็ขอมีส่วนร่วมด้วยและคิดถึงทุกคน พวกเราร่วมงานกันมา บางคนร่วมงานกับตนตั้งแต่เล่นการเมืองใหม่ๆ บางคนร่วมงานช่วงพรรคไทยรักไทย และบางคนเพิ่งร่วมงานกันไม่นานมานี้ แต่ความสำคัญคือเราต้องอยู่บนอุดมการณ์เดียวกันคือการทุ่มเททำงานให้ประชาชน วันนี้ดีใจที่พวกเราสามัคคี กันมาก เพราะเขามีความปรารถนาให้พรรคเราอ่อนแอแต่เรายังเข้มแข็งช่วยกันทำงานโดยมีประชาชนสนับสนุน

คนโดดร่วมหลังถูกขวางแก้ รธน.

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่าวันนี้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นถ้ามองให้ลึกจะเห็นว่าเป็นความขัดแย้งในทิศทางการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ เพราะประเทศไม่เคยพัฒนาประชา ธิปไตยไปได้เลย รัฐธรรมนูญปี 40 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมาก แสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการพัฒนาประชาธิปไตยให้มีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น แต่เมื่อมีการปฏิวัติแสดงให้เห็นว่ามีคนอีกกลุ่มซึ่งไม่เห็นด้วยกับกระบวน การพัฒนาประชาธิปไตยที่กำลังพัฒนาไปสู่จุดที่มีเสรีภาพมากขึ้น โดยคิดว่าอาจมีผลดีกับตัวเอง ซึ่งข้อเท็จจริงเข้าใจผิด จึงเกิดการชัก เย่อกันของแนวคิดพัฒนาประชาธิปไตย เมื่อพรรคเพื่อไทยสัญญาจะแก้รัฐธรรมนูญก็ถูกขัดขวาง วันนี้คนเสื้อแดงเริ่มเห็นความไม่ยุติธรรมจึงเข้ามาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย

เตือนรัฐบาลต้องนิ่งอย่าใจร้อน

อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตนเศร้าใจที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่อยากเห็นการพัฒนาของประชาธิปไตย กลับไปร่วมกับกลุ่มที่ไม่ต้องการพัฒนาประชาธิปไตย ทำให้การพัฒนาล่าช้ามีปัญหา เราต้องเข้าใจ และเดินยุทธ ศาสตร์นี้ให้ถูกต้อง หลักสำคัญของรัฐบาลนี้คือการใช้การเมือง ใช้ความเข้าใจของประชาชน เข้าใจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มากที่สุด มากกว่าการใช้ความรุนแรงเด็ดขาด หลักการต้องประ คองรัฐบาลให้อยู่ยาวที่สุดเพื่อให้ฝ่ายที่ต่อต้านเรียนรู้การพัฒนาประชาธิปไตยเพื่อจะได้เข้าสู่ทิศทางเดียวกัน จึงอยากบอกว่าเป็นรัฐบาลอย่าใจร้อน ความใจร้อนเป็นหน้าที่ฝ่ายค้าน รัฐบาลต้องนิ่ง สุขุม เข้าใจ และรักประชาชน ส่วนเรื่องของตนไม่ต้องห่วง ตนอยู่ไหนก็เชื่อมโยงให้คำแนะนำปรึกษาทุกคนได้ ดังนั้นไม่ต้องวิตกว่าตนจะกลับเมื่อไหร่ ในช่วงเดือน ส.ค. นี้พรรคจะลงพื้นที่เพื่อสอบถามประชาชน ว่าชื่นชอบ ส.ส. พรรคมากแค่ไหน ประชาชนชอบหรือไม่ชอบพรรคจะรู้หมด ส.ส. เองก็จะรู้ว่าประชาชนคิดอย่างไรกับตัวเอง เราอยากเห็น ส.ส. ที่รักประชาชนและจะทำแบบนี้ทุกปี

สมชายนำเป่าเค้กวันเกิดชื่นมื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนนำจุดเทียนเค้กวันเกิด โดยสมาชิกร่วมกันร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณ รวมถึงวันเดียวกันนี้ยังเป็นวันเกิดของ 3 ส.ส. พรรคด้วย และบางคนไม่ได้เดินทางไปฮ่องกง ส่วนบรรยากาศในงานเลี้ยง มีรัฐมนตรี แกนนำพรรค สมาชิก 111 และ ส.ส. ของพรรคมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก โดยจัดเลี้ยงอาหารทะเล อาหารญี่ปุ่น อาหารอีสาน อาหารไทย พร้อมมีวงดนตรีมาแสดงในงาน ท่ามกลางความชื่นมื่น

อนุสรณ์ย้ำดูแลขุนศึกเยี่ยงขุนศึก

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม. ว่า เสถียรภาพของรัฐบาลถือว่าแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับฝ่ายค้านที่ตอนนี้โงนเงน ไม่รู้จะออกหัวออกก้อย เหมือนโยนเหรียญขึ้นไปบนอากาศออกได้ทุกหน้า จนถึงขั้นแกนนำพรรคประกาศปลงสังเวชตัวเองว่าหากถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จะเลิกเล่นการเมือง ยังไม่รวมคดีสลายการชุมนุม การประกาศเขตการใช้กระสุนจริง ยิงใส่ประชาชน ช่วงเดือนเมษาฯ-พฤษภาฯ 53 ที่อยู่ในการพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศ เรียกว่าทั้งศึกในศึกนอกรุมเร้าเคราะห์กรรมมาเยือนแบบติดจรวดถึงหน้าบ้าน
รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของคนเสื้อแดงไม่มีปัญหา เพราะเชื่อมั่นในหัวหน้ารัฐบาล เมื่อได้รับโอกาสก็ทำงาน ถ้าต้องปรับออกมาก็ทำงานในสนามอื่นได้ทั้งนั้น ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ที่มีข่าวจะมาเป็นรัฐมนตรีแทนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่ใช่ประเด็นเพราะเราไม่เคยมีเรื่องโควตาอะไร และหัวใจของทั้งสองคนยิ่งใหญ่ เฉียดเป็นเฉียดตายร่วมกันมา สำคัญกว่าการเป็นรัฐมนตรี คงไม่ได้คิดถึงตำแหน่ง ผู้ใหญ่ในพรรคทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่าขุนศึกต้องได้รับการดูแลเยี่ยงขุนศึก ไม่อย่างนั้นเวลาจัดทัพจะมีกำลังใจรุกรบได้อย่างไร

ชู ′ตู่′ ซูเปอร์ รมต.คนเสื้อแดง

   ′นายจตุพรเดินทางไปทำงานสนับสนุนพรรคหรือขับเคลื่อนมวลชนที่ไหนยิ่งใหญ่กว่าการเป็นรัฐมนตรี หัวใจนายจตุพรยิ่งใหญ่เกินกว่ารัฐมนตรีไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ถือว่าเป็นซูเปอร์รัฐมนตรีของคนเสื้อแดง ส่วนนายณัฐวุฒิพยายามที่จะพยุงราคายางให้สูงขึ้นเพื่อพี่น้องเกษตรกร หรือมาตรการจับปุ๋ยปลอมตามแผนยุทธศาสตร์เจอปลอมจับจริง จึงไม่มีเหตุที่ต้องปรับออก ผมไม่เชื่อว่ากระแสข่าวดังกล่าวจะออกมาจากพรรคเพื่อไทย น่าจะมาจากฝ่ายตรงข้ามมากกว่า จึงอยากแนะนำฝ่ายค้านว่า เหลืออีก 3 ปีกว่าๆ ถึงจะครบเทอม ทำใจร่มๆ เอาไว้ ให้รู้จักอดทนและมีวินัย′ นายอนุสรณ์ กล่าว

เผยแม้วสั่งลูกพรรคเบาๆ การเมือง

แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า ในการเดินทางไปอวยพรวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น มี ส.ส.เพื่อไทย เดินทางไปจำนวนมาก ต่างผลัดกันเข้าอวยพรวันเกิด โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับกลุ่ม ส.ส. ถึงแนว ทางการทำงานของพรรคและรัฐบาลหลังจากนี้ว่าต้องเดินหน้าทำงานบริหารบ้านเมืองให้มาก และให้เบาๆ เรื่องการเมืองลง เพราะจะทำให้การบริหารงานไม่ราบรื่น ในปีงบประ มาณหน้าเป็นงบประมาณที่เราได้จัดเองอย่างเต็มที่ ทำให้การบริหารจะเดินหน้าไปได้ดียิ่งขึ้น แต่การจะเดินหน้าบริหารงานได้เต็มที่นั้นแน่นอนว่าคนเล่นคือ ครม.อาจจะมีการปรับเปลี่ยนบ้างให้สอดคล้องกับการทำงานของผู้นำรัฐบาลและทีมงานทั้งหมด ให้ผู้บริหารระดับสูง คนที่อยู่นานได้เข้ามาทำงานบ้าง ที่ผ่านมาให้โอกาสบางคนแสดงฝีมือแล้ว ซึ่งก็ทำงานได้ดี ไม่ใช่ไม่เก่ง แต่ไปกับทีมไม่ได้ การปรับเปลี่ยนคงต้องเป็นหลังวันที่ 12 ส.ค. ไปแล้ว วันนี้เราต้องลดเรื่องการเมือง เน้น การบริหารทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี แล้วเขาจะไม่สนใจการเมืองว่าใครจะเข้าจะออก แต่เมื่อถึงเวลาเขาจะเลือกเราเพราะเห็นผลงานที่เราทำ

ถ้าทำรัฐบาลสะดุดก็ยังไม่กลับ

แหล่งข่าวระบุอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกอีกว่าตนคงจะเบาในเรื่องการแสดงความเห็นทางการเมืองลง เพราะพูดไปแล้วก็ไปแปลความกันผิดๆ บอกว่าจะรีบกลับบ้านบ้างอะไรบ้าง ซึ่งเรื่องกลับบ้านนั้นไม่ได้รีบ หากกลับมาแล้วจะทำให้รัฐบาลสะดุดลงก็ยังไม่กลับ อยู่อีก 1-2 ปีก็ได้ไม่มีปัญหา ในส่วนคนเสื้อแดงนั้นยอมรับว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องจัดระยะการทำงานให้ดี โดยเฉพาะแกนนำ เข้าใจว่าหลายคนมีคดีติดตัว แน่นอนว่าเราต้องจับมือเดินหน้ากันไป แต่ต้องไม่รีบร้อนเดินหน้าชนอย่างเดียว หรือจะเข้ามาฝ่ายบริหารอย่างเดียว เพราะจะทำให้รัฐบาลสะดุดได้ ต้องพยายามเดินไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป พ.ต.ท.ทักษิณ ยังฝากให้ ส.ส. ของพรรคเดินหน้าทำงานเต็มที่ให้เข้าถึงประชาชน ให้ลืมเรื่องเก่าๆ ที่ไม่ดี และต้องสามัคคีกันให้มาก

เทือกอัดบิ๊กโอ๋เปลืองตัวถล่มมาร์ค

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม แถลงถึงกรณีการเกณฑ์ทหารของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ตนคิดว่า รมว.กลาโหม เปลืองตัว อาจจะฮึกเหิมหรือหมายมั่นปั้นมือที่จะเล่นงานผู้นำฝ่ายค้านเกินไป ไม่จำเป็นต้องมาเปลืองตัวลงมาเล่นงานด้วยตัวเอง เพราะข้อเท็จจริงก็ว่าไปตามเอกสารหลักฐาน ให้เขาพิสูจน์กันไป เข้าใจว่าใกล้เวลาปรับ ครม. ก็ต้องลุกขึ้นมาแสดงอิทธิฤทธิ์กันหน่อย คงไม่มีผลอะไรกับนายอภิสิทธิ์ เพราะตนได้ศึกษาเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องก็เห็นว่าไม่มีอะไรต้องกังวลใจให้เป็นความผิด เรื่องนี้ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว ฝ่ายรัฐบาลยังจ้องเล่นงานและมุ่งมั่นห้ำหั่นนายอภิสิทธิ์ ชีวิตการเมืองนายอภิสิทธิ์ไม่เคยทำอะไรเสียหาย ไม่มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่มีเรื่องผิดศีลธรรม มีเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เล่นแล้วเล่นอีก ก็ไม่เป็นปัญหา เราต้องต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงและความจริง เชื่อว่ายังมีอีกเป็นชุดๆ ที่เขาเตรียมการเอาไว้ เราก็ต้องตั้งรับและสู้ตามข้อเท็จจริง อย่าไปกังวลใจอะไร

จี้บิ๊กอ๊อบแจงพบแม้วทำไมไม่จับ

นายสุเทพกล่าวถึงกรณีที่ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้สอบจริยธรรมของ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. กรณียอมรับว่าเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ต้องโทษหนีคดีอาญา ที่ฮ่องกงว่า ไม่ทราบว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ คิดอะไรอยู่ คนเป็นตำรวจต้องเป็นทั้ง 24 ชั่วโมงและทุกวัน มีหน้าที่ติดตามจับกุมผู้ต้องหาหนีคดี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เป็นถึงหัวหน้าตำรวจ เมื่อไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยลืมความเป็นตำรวจของตัวเองที่มีหน้าที่ต้องไปตามจับกุมหรือไม่ก็ต้องแจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่คนอื่นดำเนินการ เมื่อเป็นเช่นนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ควรรู้ตัวดีว่าทำไม่ถูกต้อง

น้อมรับหากถูกตัดสิทธิ์การเมือง

นายสุเทพกล่าวถึงการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดกรณีการแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำ กระ ทรวงวัฒนธรรมว่า ไม่หนักใจ เพราะไม่มีอะไรต้องกังวลใจ ขอยอมรับมติของคณะ กรรมการ ป.ป.ช. แม้ว่าโดยข้อเท็จจริงตนเชื่อว่าสิ่งที่ดำเนินการไปน่าจะยังไม่เข้าข่ายที่จะเป็นความผิดสำเร็จ เนื่องจากตนได้ทำหนังสือปรึกษา รมว.วัฒนธรรม ว่าจะส่งคนจำนวน 19 คน ไปช่วยงานของกระทรวง แต่เมื่อทำหนัง สือไปแล้วก็คิดว่าอาจจะหมิ่นเหม่ต่อข้อกฎ หมายได้ จึงให้เจ้าหน้าที่ไปขอเรื่องคืนโดยที่ยังไม่ได้ส่งคนไปแต่อย่างใด ขณะนี้ก็รออยู่ว่าเมื่อ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้วุฒิสภา และเมื่อวุฒิสภามีมติเป็นอย่างไรตนก็ขอน้อมรับ เพราะเวลานี้อายุ 64 ปีแล้วเป็นนักการเมืองมาตลอดชีวิต ถือว่าทำงานให้ประเทศมาพอสมควร หากถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีถึงตอนนั้นตนก็อายุ 69 ปี ค่อยดูกันใหม่ ในวันที่ 29 ก.ค. นี้ ตนจะขึ้นเวทีประชาชนเดินหน้าผ่าความจริง หยุดกฎหมายล้างผิดคนโกง เพราะกว่าจะถึงเวลาที่วุฒิสภาประชุมเพื่อลงมติถอดถอน คงต้องรอหนังสือจาก ป.ป.ช. ก่อน ตนยังทำหน้าที่ได้อีกหลายวัน

ศาล รธน. แจ้งความ ส.ส.พท. หมิ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำเมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานไปแจ้งความดำเนินคดีกับ บุคคลและกลุ่มบุคคลที่พูดจาดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงกลุ่มบุคคลที่เข้ามาเผาโลงจำลองตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ที่หน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพราะการ กระทำดังกล่าวเป็นการข่มขู่ คุกคาม ดูหมิ่น ซึ่งเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ให้ตุลาการเกิดความกลัว ซึ่งไม่ได้เป็นการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา เนื่องจากตามมาตรา 208 ของรัฐธรรมนูญวรรคท้ายระบุว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมตามกฎ หมาย การกระทำดังกล่าวถือเป็นการข่มขู่ตุลา การในขณะทำหน้าที่ มีโทษตามประมวลกฎ หมายอาญามาตรา 198 ที่ระบุว่า ′ผู้ใดดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษา คดี หรือกระทำการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ′

ฟ้อง ′เจ๋งดอกจิก-จ่าประสิทธิ์-ก่อแก้ว′

ดังนั้นสำนักงานศาลฯ ได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ ครบแล้ว ได้ไปแจ้งความดำเนินคดี ประกอบด้วย
1. นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก
2. จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส. สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย
ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่เป็นตุลาการ โดยการข่มขู่ ทำให้ตุลาการเกิดความกลัวด้วยการปราศรัยโจมตีใส่ร้ายด้วยข้อความ อีกทั้งยังบอกเบอร์โทรศัพท์ให้พรรคพวก โทร. ไปก่อกวน และข่มขู่
3. นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในข้อหาข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย

ดีเจวิทยุชุมชนเผาโลงโดนด้วย

นอกจากนี้ยังมีการแจ้งความดำเนินคดีกับนายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ที่ได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในข้อหา แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานสืบสวนสอบ สวน รวมไปถึงนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ นักจัดรายการวิทยุชุมชนและพวกประมาณ 25 คน ที่มาเผาโลงจำลองตุลาการ 9 คน ที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ และมีการไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการไว้นั้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนัก งานสืบสวนสอบสวน รวมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาอีกว่ามีการข่มขู่ในลักษณะทำให้เกิดความกลัว และมีการมาชูป้ายด่าดูหมิ่นตุลาการฯ อีกทั้งยังเผาโลงอีก
รายงานข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญแจ้งอีกว่า หลังจากที่สำนักงานแจ้งความดำเนินคดีแล้ว กรณีดังกล่าวนี้หากตุลาการฯ หรือใครที่คิดว่าเสียหายสามารถดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีด้วยตัวเองได้ ซึ่งมีตุลาการฯ บางคนกำลังดูอยู่ว่าจะต้องฟ้องดำเนินคดีกับใครบ้าง อย่างไรก็ตามศาลรัฐธรรมนูญถึงแม้ไม่มีเรื่องการละเมิดอำนาจศาลแต่รัฐธรรมนูญระบุไว้ ซึ่งมีช่องทางดำเนินการได้

กกต. แจงข้อดีแจกเหลือง-แดง

ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองระบุว่าควรลดอำนาจ กกต. เหลือแค่เพียงจัดการเลือกตั้ง ไม่มีอำนาจให้ใบเหลืองใบแดงว่า รัฐธรรมนูญปี 40 ให้ กกต. มีอำนาจแจกใบเหลืองใบแดง เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมาไม่เคยมีคดีที่สามารถเพิกถอนผลการเลือกตั้งหรือ เลือก ส.ส. ใหม่ได้ เพราะกระบวนการพิจารณาคดีให้ผู้สมัครที่แพ้การเลือกตั้งไปฟ้องคดีด้วยตนเอง จึงให้ กกต. เข้ามาดูเรื่องอำนาจกระบวน การยุติธรรม เพื่อพิจารณาว่าหากปรากฏหลักฐานว่าการเลือกตั้งไม่ยุติธรรม ก็จะมีอำนาจสั่งเลือกตั้งใหม่ได้ หรือหากพบว่าผู้สมัครมีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อสิทธิขายเสียง กกต. สามารถให้ใบเหลืองใบแดงได้ หากจะไม่ให้กกต.มีอำนาจแจกใบเหลืองใบแดงต่อไปได้ แล้วใครจะมาเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยในการเลือกตั้ง เหมือนถอยหลังเข้าคลอง ไม่รู้ว่าจะดีกว่าปัจจุบันหรือไม่

ติงโหวตวาระ 3 ยื่นตีความอีก

นายประพันธ์กล่าวต่อว่ากรณีการสรรหากกต.ที่จะให้อำนาจการสรรหาเป็นของรัฐสภานั้น ฝ่ายการเมือง พรรคการเมือง ก็จะครอบงำคนที่เป็น กกต. โดยตรง การทำงานของ กกต. ต้องเกรงใจนักการเมือง พรรคการเมือง เพราะเป็นผู้เลือกเข้ามาทำหน้าที่ ฉะนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราก็จะเกิดปัญหา เพราะบุคคลที่จะทำหน้าที่แก้ไขคือนักการเมือง พรรคการเมือง ด้วยเหตุนี้ประชาชนอาจสงสัยได้ว่าเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือไม่
นายประพันธ์กล่าวถึงกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ มาตรา 291 ไม่เป็นการล้มล้างการปกครอง พร้อมกับมีข้อเสนอและคำแนะนำว่าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับควรทำประชามติก่อน แม้จะเป็นเพียงคำแนะนำแต่หากไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ กลับเดินหน้าลงมติวาระ 3 ต่อไป เชื่อว่าต้องมีบุคคลยื่นเรื่องร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความอีก หรืออาจมีบุคคลไปฟ้องคดีอาญาโทษฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญให้คำแนะนำมาแล้ว
   ′หากผู้ปฏิบัติและฝ่ายที่เกี่ยวข้องคิดว่าเดินหน้าลงมติวาระ 3 แล้วไม่มีปัญหา อยากจะลองเสี่ยงก็แล้วแต่ คงเป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติ แต่กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญให้คำแนะนำมาแล้ว แม้ว่าคำแนะนำจะไม่มีผลผูกพันก็ตาม′ กกต. ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้งกล่าว

แนะชะลอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง

นายประพันธ์แสดงความคิดเห็นถึงร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ในฐานะนักวิชาการว่า หากฝ่ายการเมืองเดินหน้าพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง ต่อไปอาจเกิดปัญหา เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง มีลักษณะเป็นการยกเลิกผลการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตหรือผลที่มีคำพิพากษาไปแล้ว หากออก พ.ร.บ.ปรองดอง ในช่วงที่ยังมีรัฐธรรมนูญ ปี 50 ฉบับปัจจุบันนี้อยู่ อาจมีบุคคลยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ว่าเป็นการออกกฎหมายโดยขัดกับรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม ต้องทบทวนดูว่าควรชะลอไปก่อนหรือไม่

พท. ส่งน้องอดีต ส.ส. ซ่อมลำพูน

วันที่ 28 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่พัทยา จ.ชลบุรี มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ลำพูน คือนายรังสรรค์ มณีรัตน์ น้องชายคนสุดท้องของนายสถาพร มณีรัตน์ อดีต ส.ส.ลำพูน ที่เสียชีวิต โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร่วมกันสวมเสื้อสมาชิกพรรคให้กับนายรังสรรค์เพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมการจัดการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 2 ลำพูน ในวันอาทิตย์ที่ 26 ส.ค. ว่าคิดว่าภาพรวมการจัดการเลือกตั้งไม่น่าจะมีปัญหา แม้ว่าในช่วงนั้นจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นก็ตาม กกต. กำชับให้เจ้าหน้าที่ช่วยประชาสัมพันธ์เพื่อไม่ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสับสน พร้อมกำชับเรื่องของความเรียบร้อยและความปลอดภัยในการจัดการเลือกตั้งด้วย เพื่อให้ ผู้สมัครหาเสียงได้อย่างเรียบร้อย ไม่ใช่ไปหาเสียงที่ใดแล้วเกิดมีกลุ่มมวลชนมาชูป้ายต้านหรือตะโกนต่อว่าด่าทอ ทั้งนี้ในการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2554 จังหวัดลำพูนถือเป็นจังหวัดที่มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 89 จึงคาดหวังว่าการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ครั้งนี้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ประมาณร้อยละ 80

คำวินิจฉัยตุลาการ รธน. ประเด็น 2

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 19.25 น. วันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 8 คน กรณีมีผู้ร้องเพื่อขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ ซึ่งศาลมีคำวินิจฉัยยกคำร้องไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา
ในคำวินิจฉัยส่วนตนในประเด็นที่สองที่ตั้งประเด็นการพิจารณาว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 สามารถแก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าปัญหาตามประเด็นข้อนี้ไม่มีบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายใดให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบ และวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ได้ จึงเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัย
คำวินิจฉัยของนายจรูญ อินทจาร ระบุว่าหากจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมทั้งฉบับหรือจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการพัฒนาการเมืองของประเทศให้ก้าวหน้า ย่อมกระทำได้โดยการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ซึ่งอาจแสดงออกโดยการลงประชามติ
ด้านคำวินิจฉัยของนายเฉลิมพล เอกอุรุ ระบุว่าการดำเนินการเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และเป็นการกระทำที่เกินขอบเขตอำนาจที่ได้รับมอบมาจากผู้ทรงอำนาจหรือผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ จึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
ขณะที่คำวินิจฉัยของนายชัช ชลวร ระบุว่าเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 กำหนดกฎเกณฑ์การแก้ไขเพิ่มเติมข้อห้ามตามมาตรา 291 (1) วรรคสองว่าไว้แต่เฉพาะการห้ามเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการเปลี่ยนรูปแบบของรัฐ ซึ่งเป็นกำหนดเงื่อนไขการแก้ไขเพิ่มเติมไว้ชัดเจน การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 291/11 วรรคห้า ว่าร่างรัฐธรรมนูญที่มีผลการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการเปลี่ยนรูปแบบของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติที่ว่าด้วยหมวดของพระมหากษัตริย์จะกระทำมิได้ ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 จึงสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้
ด้านคำวินิจฉัยของนายบุญส่ง กุลบุปผา ระบุว่าการที่ผู้ร้องอ้างว่าฝ่ายผู้ถูกร้องไม่มีอำนาจไปยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 ทั้งฉบับ โดยการยกร่างขึ้นใหม่ได้นั้น ศาลให้เหตุผลข้างต้นดังกล่าวแล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ศาลมิอาจก้าวล่วงเข้าไปตรวจสอบในประเด็นที่ผู้ร้องโต้แย้ง จึงไม่รับวินิจฉัยในประเด็นนี้
คำวินิจฉัยของนายนุรักษ์ มาประณีต ระบุว่า รัฐธรรมนูญฉบับก่อน ปี 2550 ไม่มีบทบัญญัติเรื่องพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพิ่งจะมีบัญญัติไว้ใน มาตรา 63 รัฐธรรมนูญ ปี 40 และให้ความสำคัญมากขึ้นไปอีกในรัฐธรรมนูญ ปี 2550 โดยเพิ่มขึ้นเป็นส่วนที่ 13 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งเป็นการห้ามบุคคลและพรรคการเมืองกระทำการล้มล้างรัฐธรรมนูญนี้ โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีผลให้ล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะกระทำมิได้
สำหรับคำวินิจฉัยของนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ระบุว่า กระบวนการทางนิติบัญญัติที่ได้ยกร่างมาตรา 291/13 ให้อำนาจกับทางประธานรัฐสภา มีอำนาจตรวจสอบว่ามีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 291/11 วรรคห้าหรือไม่ แต่เพียงผู้เดียวแล้ว และไม่สามารถตรวจสอบลักษณะอื่นๆ นอกจากนี้ได้อีก จึงถือได้ว่าไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และไม่เป็นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เคยมีมาเช่นกัน
และคำวินิจฉัยของนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ระบุว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 สามารถแก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่ และต้องมีการจัดทำประชามติก่อนร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นอำนาจของรัฐสภาและองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงข้อเรียกร้องหรือความวิตกกังวลในทางสังคมวิทยาการเมืองของประชาชนทุกภาคส่วนด้วย ศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นนี้ได้

′ดวง′ ยันย้ายมา ตร. ไม่เกี่ยวพ่อ

วันที่ 28 ก.ค. ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ จอมเทียน พัทยา จ.ชลบุรี ในงานสัมมนา ′ทิศทางการทำงานการเมืองของพรรคเพื่อไทย′ ร.ท.ดวง อยู่บำรุง รองสารวัตรศูนย์ฝึกอบรมกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงการโอนย้ายจากการรับราชการทหารมารับราชการตำรวจว่า เป็นความประสงค์ของตนเอง เพราะคิดว่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่า ตนยอมรับว่ายิงปืนแม่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลจึงได้มาพูดคุยกับตน ยืนยันว่าการโอนย้ายมีการยื่นเอกสาร หลักฐาน ตามระเบียบราชการทั้งหมด ส่วนที่มีการพิจารณาคำสั่งโอนย้ายของตนรวดเร็วเพียง 17 วันนั้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ตนไม่เกี่ยวข้อง ยืนยันได้ว่าเมื่อมาอยู่ตรงนี้จะไม่มีอภิสิทธิ์เหนือเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเช่นกัน โดยวันที่ 1 ส.ค. จะเข้ารายงานตัวกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
   ′ขออย่านำเรื่องการโอนย้ายของผมไปโยงกับเรื่องทางการเมือง ผมโตแล้วไม่อยากให้เกี่ยวกับคุณพ่อ การย้ายครั้งนี้ก็ไม่ได้หารือกับคุณพ่อก่อน เคยบอกไว้แต่ก็นานมากแล้ว′ ร.ท.ดวง กล่าว
เมื่อถามว่าในอนาคตหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ภาคใต้ ร.ท.ดวง กล่าวว่าตนพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะให้ไปไหนก็จะไป เนื่องจากเป็นข้าราชการประจำต้องพร้อมอยู่เสมอ
ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย แต่คนอาจจะมองเนื่องจากนามสกุลของ ร.ท.ดวง มากกว่า ที่ผ่านมามีการรับสมัคร โอนย้ายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่สำคัญก็มีคุณสมบัติตามที่เราต้องการ โดยที่รับโอนมาเพราะมีความรู้จบปริญญาโทนิติศาสตร์ ยิงปืนได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะเอามาบรรจุเป็นครูฝึกที่ศูนย์ฝึกอบรม อย่าไปมองว่านามสกุลอยู่บำรุง
พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวอีกว่า ไม่ว่าจะเหล่าทัพไหน หากมีความรู้ความสามารถจะรับทั้งหมด โดยเอามาเป็นครูฝึก ในส่วนของ ร.ท.ดวง มีคุณสมบัติตามที่เราต้องการ และกำลังในส่วนนี้ขาดแคลน เจ้าตัวก็อยากมาจึงโอนย้ายมาเป็นเรื่องธรรมดา ยิงปืนแม่นมากมีใบประกาศนียบัตร 16-17 ใบ จึงต้องเอามาช่วยทำงานในส่วนนี้ ′ผมมองที่ประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองแต่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยจะเอามาเป็นครูฝึกให้กับพวกนายร้อยด้วย เพราะที่ผ่านมามีตำรวจถูกยิงเจ็บตายมาเยอะแล้ว หากทหารเหล่าอื่นๆ อยากย้ายมาและมีคุณสมบัติผมก็พร้อมรับทันทีเช่นกัน′ ผบช.น. กล่าว