ปรากฏการณ์ในอดีตอันใกล้ที่สำคัญ นำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงในเวลาต่อมาคือ ปรากฏการณ์ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่นำไปสู่การทำรัฐประหาร ล้มล้าง อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร ที่มาจากประชาชน แล้วใช้อำนาจคณะรัฐประหารสร้างอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ กระทั่งอำนาจบริหาร ที่มาจากคณะรัฐประหาร หมดทุกอำนาจ สถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จของระบอบอำมาตย์จนได้รัฐธรรมนูญของระบอบอำมาตย์ สำหรับปรากฏการณ์ศาลรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานี้บ่งชี้อะไร ?
1. แสดงว่าการเมืองการปกครองไทย และโครงสร้างชั้นบนของสังคมไทยอยู่ในระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจการปกครอง อำนาจทางอุดมการณ์ อำนาจทางวัฒนธรรม และแนวคิดของสังคมไทย
เมื่อดูเนื้อหาคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่า พวกเขากำลังพิทักษ์เจตนารมณ์ของระบอบอำมาตย์และคณะรัฐประหารชัดเจน โดยทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ที่ลงทุนสูงยิ่ง และพิท้กษ์อำนาจระบอบอำมาตยาธิปไตยเต็มรูปแบบ โดยวิธีการทุกวิธีไม่ว่าจะเสี่ยงกับผลลบและความเสียหายเพียงใด
เนื้อหาของผู้ร้องและคำถามล้วนยืนยัน
- ถึงการไม่ยอมรับอำนาจประชาชน
- การไม่ยอมรับเสียงข้างมากในสภา
- การที่ใช้อำนาจตุลาการโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเครือข่ายของระบอบอำมาตย์อยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติ เหนืออำนาจบริหาร เหนือรัฐธรรมนูญูและเหนือประชาชน
- การพลิกกลับมาต่อสู้ของเครือข่ายระบอบอำมาตย์ เป็นการยืนยันภาวะไม่ยอมถอยสำหรับระบอบอำมาตย์ไทย เมื่อฝ่ายประชาชนเดินหน้ารุกทางการเมืองการปกครองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 เป็นการจี้จุดสำคัญที่ระบอบอำมาตย์ถอยไม่ได้เพราะเป็นกล่องดวงใจที่ต้องพิทักษ์ให้ได้
คณะผู้ร้องในส่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มคมช. พยานกลุ่มนักวิชาการ นักกฏหมาย และกองกำลังนอกระบบของเครือข่ายอำมาตย์ ทั้งกลุ่มสันติอโศก กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มหมอตุลย์ และกลุ่มผรท. เหลือง โดยการสนับสนุนของหน่วยงานความมั่นคงภายใน นำไปสู่เป้าหมายพิทักษ์กลไกสำคัญของระบอบอำมาตย์ในการต่อสู้ทางการเมือง คือ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
นี่เป็นการเปิดเผยตัวอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกรูปแบบ กระทั่งต้องเอาอดีตคอมมิวนิสต์(ผรท.)มาใช้ซึ่งผิดปกติเป็นอย่างยิ่งสำหรับพวกจารีตนิยม แสดงว่า แน่ใจว่าเครื่องมือนี้ไม่ทรยศแน่นอน หรือว่าไม่มีกลุ่มคนอื่นใดจะนำมาใช้ได้อีกแล้ว
3. การเมืองการปกครองไทยยังไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อย่างง่ายๆ ด้วยแรงฮึดสู้ของระบอบอำมาตย์ ที่ไม่ยอมถอยให้อำนาจประชาชน
ดังนั้นการพัฒนาสังคมไทยไปสู่ประชาธิปไตยจึงยังเผชิญอุปสรรค และความเสี่ยงว่าจะถอยหลังไปอีกก็ได้ หลังจากประชาชนพยายามลุกขึ้นก้าวเดิน ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งครั้งใหญ่เป็นครั้งที่ 3
ฝ่ายประชาชนจะบริหารชัยชนะที่ได้มาในขั้นต้นที่ได้อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ แม้ไม่สมบูรณ์ ยังมีอุปสรรคก็ตาม แต่ก็เป็นการสะสมชัยชนะได้ระดับหนึ่งให้ได้ชัยชนะขั้นต่อไปอย่างไร โดยไม่เพลี่ยงพล้ำเสียทุนแห่งชัยชนะไปกลายเป็นความพ่ายแพ้ แทนที่จะได้ชัยชนะเพิ่มขึ้น
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ พรรคการเมืองฝ่ายประชาชนต้องตระหนักว่า ประชาชนที่สนับสนุนให้ท่านได้อำนาจรัฐทางการบริหารและนิติบัญญัตินั้น เขาเป็นนักต่อสู้ที่มีระดับ ในฐานะผู้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาแล้วยาวนานกว่า 5 ปี ไม่ใช่ประชาชนเซื่องๆธรรมดาที่เป็นเพียงผู้โหวตเสียงให้ท่าน
การตัดสินใจดำเนินการใดๆทั้งที่ผ่านมาและที่จะทำต่อไปในอนาคตนั้นต้องคำนึงถึงปัจจัยนี้ด้วย ว่าท่านจะเป็นพรรคการเมืองของประชาชนหรือจะเป็นพรรคการเมืองที่หาผลประโยชน์เฉพาะพวกและกลุ่มตนเท่านั้น โดยไม่นำพาความคิดเห็นของประชาชน เพราะคนในพรรคการเมืองจำนวนหนึ่งคิดว่าถ้าได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. และได้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว มวลชนไม่เกี่ยว
จากผลที่ปรากฏในปัจจุบัน นำมาสู่ปรากฏการณ์ศาลรัฐธรรมนูญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปัญหาการนำพระราชบัญญัติปรองดองเข้าสภา โดยไม่คิดว่านี่เป็นมิติแห่งการต่อเนื่องของการต่อสู้และไม่คิดว่าฝ่ายประชาชนมีความสำคัญ นำมาสู่ความยุ่งยากที่จะทำให้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของการต่อสู้ของประชาชนเสียหายไปด้วย เพราะวิธีคิดวิธีทำงานแบบนักการเมืองย่อมต่างกับของนักต่อสู้ของประชาชน
และกลายเป็นอุปสรรคของวิถีการต่อสู้ของประชาชนไป นี่ยังมิได้หมายถึงการทรยศประชาชนและหันไปร่วมมือกับผู้เข่นฆ่าประชาชน และปฏิปักษ์กับประชาชน โดยจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
บทเรียนในอดีตก็เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้หลายครั้ง นับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ทำให้ 80 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองยังระหกระเหินไม่เห็นประชาธิปไตยที่แท้จริง