สิ่งที่ "นักการเมือง" ต้องระลึก !

มติชน 15 กรกฎาคม 2555 >>>


ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวว่า การออกมาเคลื่อนไหวแสดงอุดมการณ์ทางการเมืองภายหลังการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมืองทั่วไปตามรัฐธรรมนูญในการพูดและแสดงออก (Freedom of Speech) ถ้าการพูดหรือแสดงออกเหล่านั้นไม่ปลุกระดมทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงบานปลายในหมู่ประชาชนระดับกว้างทั่วไป ประชาชนคนไทยก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลอะไร โดยนึกเสียว่า ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนในสังคม ในกลุ่มนักการเมืองก็ต้องมีแบบนี้ ต้องพูดต้องแอคชั่นต่อสาธารณชนแบบที่เป็นอยู่ เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องทำกันเป็นชีวิตและเป็นวิถีทางการทำมาหากินของพวกเขา และที่มักจะสาดวิวาทะกันไปมาก็เพื่อกลยุทธ์ทั้งเปิดเผยและแอบแฝงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบกันในเวทีการเมือง แต่เป้าหมายที่แท้จริงของ "การเมือง" ที่นักการเมืองต้องระลึกไว้ในระบอบประชาธิปไตยคือ ลดความขัดแย้ง สร้างสถาบันหรือองค์ทางการเมืองที่ชาวบ้านพึ่งได้
   "ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ บทบาทของนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยที่ผลโพลครั้งนี้ระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงให้โอกาสสนับสนุนการทำงาน จึงน่าจะใช้โอกาสนี้เป็นต้นแบบนำร่องสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศ เปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมืองและผู้ใหญ่ในสังคม โดยนายกรัฐมนตรีอาจจะหันมาสนใจปัญหาสังคมให้มากขึ้น ใช้บทบาทของสตรีและการมีบุตรคำนึงถึงคุณภาพเด็กและเยาวชนในอนาคตด้านการศึกษา ด้านความปลอดภัยจากความรุนแรงทุกรูปแบบ และมีชีวิตที่สร้างสรรค์ของพวกเขา" ดร.นพดล กล่าว
นอกจากนี้ ดร.นพดล กล่าวต่อว่า อยากเสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้เวลาจัด TV เช้าวันเสาร์ลง แล้วไปสำรวจตลาดคุณภาพเด็กและเยาวชน นักเรียนและ นักศึกษาทั่วไป เช่น แถวสยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ สยามสแควร์ สถาบันกวดวิชา มหาวิทยาลัย โรงเรียน หรือแม้แต่ร้านวิดีโอเกมส์ และลานกีฬาต้านยาเสพติดในชุมชนต่างๆ ลองลงพื้นที่ไปสัมผัสแววตาและน้ำเสียงโดยตรงจากพวกเขาเหล่านั้นตามแหล่งที่พวกเขารวมตัวกันใช้เวลาอยู่ด้วยกัน บางทีนายกรัฐมนตรีอาจจะรับรู้ได้ด้วยตนเองว่ามีช่องว่างที่กว้างมากน้อยเพียงไรระหว่างผู้นำประเทศกับเด็กและเยาวชน เพราะการให้เด็กๆ ท่องจำได้ว่านายกรัฐมนตรีชื่ออะไร ชื่อนายกรัฐมนตรีสะกดกันอย่างไร คำขวัญวันเด็ก การเปิดทำเนียบให้เด็กได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และแม้การแจกแท็ปเล็ตตามนโยบายรัฐบาลให้พวกเขา ยังไม่ได้ช่วยลดช่องว่างระหว่างผู้นำประเทศกับเด็กและเยาวชนมากนัก เพราะพวกเขากำลังรอคอยผู้ใหญ่ที่ดีในสังคม มีนโยบายด้านเด็กและเยาวชนที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ปัญหาบางอย่างมันเกินความสามารถของเด็กๆ จะดูแลป้องกันตัวเองได้ ทั้งในเรื่องสื่ออันตราย สถานบริการรอบรั้วสถาบันการศึกษา ความรุนแรง การค้ามนุษย์ในกลุ่มเด็กและเยาวชน และปัญหายาเสพติด