ไต่สวนการตาย 'ฟาบิโอ' วันแรก รอง ผบก.น.6 ระบุกระสุนมาจากฝั่งทหาร

ประชาไท 24 กรกฎาคม 2555 >>>


ศาลไต่สวนนัดแรก กรณีช่างภาพอิตาลี "ฟาบิโอ โปเลนกี" เสียชีวิตช่วงสลายชุมนุมราชประสงค์ หัวหน้าพนักงานสืบสวนระบุมาจากปฏิบัติการของทหารตาม พรก.ฉุกเฉิน ด้าน 'เอลิซาเบตตา โปเลนกี' น้องสาวบินจากอิตาลีมาเบิกความด้วยวันแรก
ประชาไทสัมภาษณ์ เอลิซาเบตตา โปเลนกี น้องสาวของฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพชาวอิตาลีซึ่งเสียชีวิตจากกรณี 19 พ.ค. 53 โดยวันนี้เอลิซาเบตตาให้สัมภาษณ์หลังเบิกความต่อศาลเป็นวันแรก
23 ก.ค. 55 - เวลา 9.50 น. ณ ศาลอาญากรุงเทพฯใต้ เป็นวันแรกของการไต่สวนพยานในคดีการเสียชีวิตของช่างภาพอิตาเลียน ฟาบิโอ โปเลนกี ที่ถูกกระสุนยิงเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมทางการเมืองเดือน พ.ค. 53 โดยพยานฝั่งอัยการ พ.ต.อ.สืบศักดิ์ พันธุ์สุระ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 6 (รอง ผบก.น.6) และหัวหน้าพนักงานสอบสวน เบิกความว่าสาเหตุการตายของฟาบิโอ น่าจะมาจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ยิงกระสุนปืนความเร็วสูงทิศทางระนาบเข้าใส่นักข่าวและผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53
พ.ต.อ. สืบศักดิ์ ให้การว่า หลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอรับคดีของนายฟาบิโอ โปเลนกีเข้าเป็น 1 ใน 16 สำนวนที่เชื่อว่าเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อปลายปีที่แล้ว ตนได้เป็นเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว และสอบหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากดีเอสไอ และ สน. ปทุมวัน
โดยพบว่า นายฟาบิโอเสียชีวิตในช่วงกลางวันของวันที่ 19 พ.ค. 53 ที่บริเวณแยกราชดำริ ระหว่างเข้าไปทำข่าวการชุมนุม ขณะนั้นทหารกำลังเคลื่อนมาทางแยกราชดำริ โดยมีผู้ชุมนุม และผู้สื่อข่าวอยู่บริเวณดังกล่าว มีการใช้อาวุธปืนยิงมาเป็นระยะๆ มาทางด้านผู้ชุมนุม
โดยผู้พิพากษาถาม พ.ต.อ.สืบศักดิ์ ว่า "ยิงตรงขึ้นฟ้า หรือยิงแนวระนาบ" พ.ต.อ.สืบศักดิ์ ตอบว่า "ยิงแนวราบ" และให้การต่อว่า
   "ผู้เสียชีวิตกำลังถ่ายภาพ และวิ่งหลบอันตราย ทั้งหนี ทั้งถ่ายภาพด้วย ในลักษณะก้มตัวเล็กน้อย จากสี่แยกราชดำริมายังสี่แยกราชประสงค์ โดยหันหลังให้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้อาวุธปืน และถูกกระสุนจึงล้มลงบริเวณบริษัทสายไฟฟ้าบางกอกเคเบิล ใกล้กับแยกราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน ลูกปืนเข้าที่ด้านหลัง ด้านขวา 1 นัด ทะลุออกหน้าอกด้านซ้าย แล้วล้มลงติดกับเกาะกลางด้านบริษัทดังกล่าว ผู้ชุมนุมจึงพาซ้อนรถจักรยานยนต์ไปยังโรงพยาบาลตำรวจ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา" พ.ต.อ.สืบศักดิ์กล่าวต่อศาล
ทั้งนี้ พ.ต.อ. สืบศักดิ์ให้การว่า ในช่วงการสลายชุมนุม ซึ่งมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและอยู่ภายใต้การสั่งการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอ.ฉ) แล้วนั้น บริเวณแยกราชประสงค์- ราชดำริ มีทหารจากกองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ (ม.พัน.3 รอ.) กำลังพล 300 นาย ผู้บังคับบัญชาคือ พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ (หมายเหตุ - ยศในขณะนั้น ปัจจุบันเลื่อนยศเป็น พ.อ. ตำแหน่ง เสธ.ม.1 รอ.) โดย ม.พัน.3 รอ. อยู่ภายใต้กรมทหารม้าที่ 1 กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ฯ
พ.ต.อ.สืบศักดิ์ ให้การว่าในวันดังกล่าว กำลังพลจาก ม.พัน.3 รอ. ได้เข้าควบคุมพื้นที่และขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำริ มีการใช้รถหุ้มเกราะนำทางเข้าปฏิบัติหน้าที่ มีการใช้ ปืน HK (ปืนชนิด Heckler & Koch 33 หรือ ปลย.11) ปืนลูกซอง ปืนสั้น มีการใช้กระสุนยาง กระสุนซ้อมรบ กระสุนจริง และแก๊ซน้ำตาชนิดขว้างในการปฏิบัติการดังกล่าว
เมื่ออัยการซักถามพยานถึงสาเหตุการตายของนายฟาบิโอ พ.ต.อ.สืบศักดิ์ กล่าวว่า น่าจะเป็นกระสุนปืนจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติตามคำสั่งรอง ผบ.ชน. 6 ระบุว่า ข้อสันนิษฐานดังกล่าว มาจากการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง 47 ปาก ทั้งผู้เชี่ยวชาญ พยานแวดล้อม เอกสารนิติเวชศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาพถ่ายและคลิปวีดีโอจากนักข่าวต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่ออัยการถามถึงชนิดของลูกกระสุนปืน รอง ผบ.ช.น.6 ไม่สามารถระบุชนิดของลูกกระสุนได้ เนื่องจากกระสุนทะลุร่างของผู้ตาย แต่คาดว่าเป็นกระสุนประเภทความเร็วสูง โดยให้เหตุผลว่า "ดูจากการทะลุทะลวง และสภาพบาดแผล"

'เอลิซาเบตตา' เบิกความวันแรก เยือนไทยเพื่อจี้คดีเป็นครั้งที่ 6

เอลิซาเบตตา โปเลนกี น้องสาวของผู้เสียชีวิต ซึ่งได้เบิกความต่อศาลวันนี้เป็นวันแรก กล่าวว่า เธอมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อยที่เห็นความคืบหน้าในกระบวนการศาล แต่ก็ไม่ได้อยากจะเห็นผู้ร้ายต้องถูกส่งเข้าคุก เพียงแต่เธอต้องการทราบความจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 แล้ว ที่เอลิซาเบตตาได้มาเยือนประเทศไทยเพื่อติดตามความคืบหน้าในคดีดังกล่าว
นายคมรม พลทะกลาง ทนายความฝ่ายโจทก์ ค่อนข้างแสดงความมั่นใจกับคดีนี้ โดยให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งใจจะสู้ให้เห็นว่าคดีเข้าข่าย ป. วิอาญา 150 ซึ่งกำหนดว่าหากผู้ตายเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าพนักงาน ศาลต้องไต่สวนถึงพฤติกรรมที่ตาย และหาผู้กระทำร้ายเท่าที่จะทราบได้ภายใน 30 วัน และด้วยหลักฐานและพยานบุคคลที่มี ค่อนข้างจะชี้ชัดเจนว่าการกระทำเกิดจากเจ้าหน้าที่ทหาร มิใช่กลุ่มอื่นใด จากนั้น จะเดินหน้าสู้คดีต่อไปเพื่อนำไปสู่การลงโทษผู้สั่งการที่เกี่ยวข้อง