เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 กรกฎาคม ที่มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย นายโภคิน พลกุล สมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตประธานรัฐสภาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ขัดมาตรา 68 หรือไม่ในวันที่ 13 ก.ค. ว่า ข้อเท็จจริงขณะนี้ยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญสักคำ เพราะต้องมีการผ่านการลงมติในวาระที่ 3 และมี ส.ส.ร. ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าใครจะมาเป็น ส.ส.ร. และจะมีการยกร่างอย่างไร อีกทั้ง มีการกำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจนว่าการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ห้ามแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ ห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ และห้ามล้มล้างการปกครองดังนั้น ส.ส.ร. ที่ตั้งขึ้นใหม่ก็ไม่สามารถทำ 3 สิ่งนี้ได้ ถ้ายังมองว่าเป็นการล้มล้างการปกครองอยู่ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
นายโภคิน กล่าวต่อว่า อีกทั้ง รัฐธรรมนูญ 2550 มี 2 มาตรฐาน เช่น มาตรา 309 ที่ให้การรับรองประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหาร ทั้งด้านนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ ถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งหมด และผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะรัฐประหารก็ถือว่าให้ชอบด้วยกฎหมายด้วย ในขณะที่มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุให้ทุกองค์กรปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักนิติธรรมและมาตรา 6 ระบุว่ารัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดแต่ถ้าให้กฎหมายที่ออกโดยคณะรัฐประหารชอบธรรมทั้งหมด จะมีมาตรา 3 และมาตรา 6 ไปทำไมกัน
นายโภคินกล่าวด้วยว่า ส่วนตัวคิดว่าคำวินิจฉัยของศาลน่าจะออกมาใน 4 แนวทางคือ
1. ขัดมาตรา 68 และนำไปสู่การยุบพรรค
2. ขัดมาตรา 68 แต่ไม่นำไปสู่การยุบพรรค
3. ข้อเท็จจริงขณะนี้ยังไม่ขัดมาตรา 68 เพราะยังไม่มีการตั้ง ส.ส.ร. และ
4. การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เข้าข่ายมาตรา 68 ให้ยกคำร้อง ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่สุด แต่บอกไม่ได้ว่าศาลจะวินิจฉัยออกมาในแนวทางใด
นายโภคินกล่าวด้วยว่า ถ้าตนเป็นศาลก็จะยกคำร้องว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่เข้าข่ายมาตรา 68 ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อนแต่กลับไปจินตนาการกัน ก็เลยเกิดความวุ่นวายขึ้น ยืนยันว่าการขอแก้ไขมาตรา 291 ถูกต้องตามครรลองกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องที่ขัดมาตรา 68 แน่นอน ทั้งนี้ถ้าคนยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง โดยไม่ผ่านอัยการสูงสุดศาลก็จะเหนื่อย เพราะไม่ใช่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญเรื่องเดียว ยังมีองค์กรอื่นที่ต้องพิจารณาอีก