'เพื่อไทย' ตีกรรเชียง ถอยเพื่อรุก ? แก้ รธน.-ปรองดอง

มติชน 14 มิถุนายน 2555 >>>




ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เมื่อ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา แจ้งต่อที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนว่า เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าและมีความ ปรองดอง จึงตัดสินใจที่จะไม่ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 อีก
การประชุมรัฐสภาวันนี้จะพิจารณากรอบข้อตกลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 จำนวน 6 เรื่อง และการประชุมสภาวันที่ 13-14 มิ.ย. จะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ... และร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ...
เพราะเช้าวันเดียวกันนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็เพิ่งให้ความเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมในวันที่ 19 มิ.ย. ตามความเห็นของประธานวิปรัฐบาล โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะนำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อไป
น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่านายกรัฐมนตรีแจ้งในที่ประชุมว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงมีอยู่ แต่ที่ต้องชะลอการพิจารณาวาระ 3 ไว้ก่อน เพื่อลดความขัดแย้งและทำให้ทุกฝ่ายมีเวลาทำความเข้าใจกันมากขึ้น
สัญญาณ "ถอย" เพื่อประคับประคองสถานการณ์ มิให้เกิดการเผชิญหน้าทางการเมืองที่รุนแรงยิ่งขึ้นกว่านี้ ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีการปิดห้องทำความเข้าใจกันในกลุ่มแกนนำของพรรคเพื่อไทย เพื่อประเมินผลดีผลเสียของการเลือกตัดสินใจแต่ละแนวทาง รวมทั้งการแจ้งความกังวลของฝ่ายรัฐบาลว่า หากยืนยันที่จะลงมติผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรม นูญในวาระที่ 3 ต่อไป
แม้ปัญหาในสภาจะไม่เป็นที่น่าวิตกนัก และจะได้รับเสียงสนับสนุนจากนักวิชาการและประชาชนจำนวนไม่น้อย
แต่ในอีกด้านหนึ่ง จะเท่ากับเป็นการโยน "เผือกร้อน" ให้ตกกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ในฐานะผู้ที่จะต้องนำมติดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย
อะไรจะเกิดขึ้นหากมติดังกล่าวใช้เวลาเดินทางเนิ่นนานกว่า 90 วัน ตามกฎหมายกำหนด
และจะจัดการอย่างไรกับ "ข่าวปล่อย" ที่ออกมาล่วงหน้าแล้วว่า นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯสิ่งที่เป็นปัญหาขึ้นไป
เสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุมจึงเห็นว่าสมควรชะลอทั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่างพระราชบัญญัติปรองดองเอาไว้ก่อน เพื่อป้องกัน "โรคแทรกซ้อน" ที่จะเกิดขึ้นตามมา
แม้จะรู้ดีอยู่ว่า การตัดสินใจเลือกยุทธวิธี "ถอย" เพื่อประคองสถานการณ์นั้น อาจจะทำให้เกิดปัญหาความเรรวน ความไม่เข้าใจ ความไม่พอใจขึ้นในพรรคเพื่อไทยและแนวร่วมสำคัญอย่างกลุ่มคนเสื้อแดง
แต่เมื่อประเมินแล้วว่า หากรัฐบาลไม่ต้องพะวักพะวงกับปัญหาการเมืองที่รกรุงรัง และสามารถสร้างผลงาน โดยเฉพาะกรณีเฉพาะหน้าอย่างการป้องกันน้ำท่วม และการแก้ไขปัญหาปากท้องความเป็นอยู่ ให้ผ่านพ้นไปได้ และน่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากยิ่งขึ้น หนักแน่นยิ่งขึ้น
โอกาสที่จะกลับมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการผลักดันกฎหมายปรองดอง น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า
ความน่าสนใจเมื่อรัฐบาลและพรรค เพื่อไทยเลือกยุทธวิธีถอยจากปัญหาเฉพาะหน้าไปชั่วคราวจึงอยู่ที่ว่า เมื่อเลือกที่จะ "ซื้อเวลา" แล้ว น.ส. ยิ่งลักษณ์ รัฐบาล หรือแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีความสามารถในการประคับประคองสถานการณ์ในพรรคมิให้กระเพื่อมจนกระทบกระเทือนภาพรวมได้อย่างไร
จะมีความสามารถทำความเข้าใจมวลชน โดยเฉพาะปีกที่มีความเห็นว่าสมควรเดินหน้าผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการผลักดันกฎหมายปรองดองให้เกิดขึ้นโดยเร็วเพียงไหน
จะ "เบ่ง" ผลงานให้ออกมาเป็นที่ประทับใจตามที่ตั้งความหวังได้หรือไม่ และยังจะต้องรอดูว่า "ฝ่ายตรงข้าม" ที่อยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อไม่แพ้กัน จะ "ออกอาการ" ขนาดไหน
โดยเฉพาะในยามที่สังคมตั้งคำถามกับขบวนการ "ตุลาการภิวัฒน์" และเจตนาที่อยู่เบื้องหลัง
อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน