'ประพันธ์' ปัดถูกครอบงำแจกแดง 'เก่ง' ยันไร้ธง

ไทยรัฐ 25 มิถุนายน 2555 >>>




“ประพันธ์” เผยมติแจกใบแดง “การุณ” ครบองค์ประชุม ชี้ผิดตาม ม.53 (5) ยันไม่มีธงพิจารณา-ไร้คนครอบงำ

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ กกต. มีมติเสียงข้างมาก สั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง (ใบแดง) นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทยว่า การพิจารณาของ กกต. ที่มีการพิจารณาเพียง 4 ท่านนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะเรามีนัดหมายประชุมอยู่ ซึ่งหาก กกต. 1 คนติดภารกิจต่างจังหวัดเราก็มีการประชุมตามปกติอยู่แล้ว อีกทั้งในที่ประชุมวันนั้น มีการพิจารณา ส.ส.อยู่หลายเรื่องและมีการพิจารณาของท้องถิ่นเกือบ 10 เรื่อง ไม่ใช่เป็นการหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเพียงเรื่องเดียว  ดังนั้นการพิจารณาเรื่องของนายการุณ เป็นการพิจารณาตามปกติ และทางคณะอนุวินิจฉัย ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิก็มีมติเอกฉันท์ที่ให้ใบแดงนายการุณ ตนเห็นด้วยกับคณะอนุวินิจฉัยในครั้งนี้ ส่วนในรายละเอียดของการพิจารณาตนคงไม่ขอออกความเห็นใดๆ เนื่องจากต้องร่างคำวินิจฉัยส่งให้ศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งพิจารณาต่อไป
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีการปราศรัยโจมตี ที่ กกต. มีมติให้ใบแดงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า ในมาตรา 53 (5) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. บัญญัติไว้แล้วการใส่ร้าย ให้ความเท็จ ซึ่งบัญญัติไว้ตั้งแต่ฉบับที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏเช่นนั้นก็เข้าข่ายในตัวบทกฎหมาย ส่วนผลสรุปจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งจะพิจารณา
เมื่อถามว่า มีการมองว่าองค์ประชุมไม่ครบ ควรที่จะเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน นายประพันธ์ กล่าวว่า ในวันประชุมวันนั้น การพิจารณา ส.ส. และท้องถิ่นมีหลายเรื่อง ซึ่งถ้าหากเลื่อนออกไปก็ต้องเลื่อนคำร้องออกไปทั้งหมด การประชุมที่มีองค์ประชุม 4 คนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร ถ้าเสียงออกมาเท่ากัน ประธานในที่ประชุมก็สามารถออกเสียงชี้ขาด โดยอาศัยอำนาจของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องปกติของข้อกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนที่ กกต.บางคนออกมาระบุว่า จะต้องมีองค์ประชุมให้ครบก่อนที่จะมีการพิจารณาดังกล่าวนั้น ยืนยันว่า องค์ประชุมครบแล้ว
เมื่อถามว่า บางฝ่ายมองว่า กกต. มีธงจะโจมตีพรรคเพื่อไทย นายประพันธ์ กล่าวว่า กกต. ไม่มีธงในการพิจารณาคำร้อง เพราะเราพิจารณาไปตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ซึ่งในกรณีนี้มีการสั่งสอบเพิ่มเติม เพื่อให้แจ้งข้อกล่าวหา เพราะว่าที่ทำสำนวนมายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา จึงทำให้กระบวนการพิจารณาล่าช้า
   “ตั้งแต่ผมมาเป็น กกต. เรียนตามตรงว่า ไม่มีใครสั่งให้ กกต. ทำอะไรในลักษณะเช่นนี้ หรือผู้มีอิทธิพล อำมาตย์ ก็ไม่เคยมี ซึ่งการปราศรัยให้ร้ายโจมตี ก็เคยมีการให้ใบแดง เมื่อปี 50 ยืนยันว่าการพิจารณาของ กกต. ไม่เคยดูในตัวบุคคลว่าคนนั้นเป็นใครหรือพรรคการเมือง ยืนยันว่าเราดูจากข้อเท็จจริง หลักฐาน และกฎหมายเป็นหลัก และถ้าเป็นส่วนผมได้ลงมติไปนั้น สามารถอธิบายได้ทุกเรื่อง”
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า สำนวนที่ทาง กกต. เสนอไปยังศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งนั้น ยังไม่ได้ชี้ว่าบุคคลนั้นต้องผิด แต่เพียงบอกว่าพยานหลักฐานนั้นมีมูล ซึ่งก็เป็นเพียงความเห็นของ กกต. เท่านั้นที่เสนอไปยังศาลฎีกาฯ และเป็นเรื่องของศาลฎีกาฯ จะเป็นผู้พิจารณาต่อไป
เมื่อถามว่ากรณีการให้ใบแดงนายการุณ กังวลหรือไม่ว่าจะมีมวลชนมาปิดล้อม นายประพันธ์ กล่าวว่า การจะทำอะไรก็ต้องหนักแน่น ทำอะไรก็อย่าใช้ความรุนแรง ถ้ามีมวลชนมาก็ไม่เป็นไร เพราะมวลชนก็เคยมา กกต. ถ้ามาแล้วก็ควรพูดจาด้วยเหตุด้วยผล อย่าใช้ความรุนแรง ส่วนกรณีนี้ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง ถือเป็นมุมมองของแต่ละคน ก็เหมือนการตีความในมาตรา 68 ที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องโดยตรง แต่อัยการสูงสุดยกคำร้อง ถือเป็นของการตีความ
นายประพันธ์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องตามมาตรา 68 ว่า อยู่ที่การตีความของกฎหมาย ตอนยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่นึกถึงตรงนี้ คิดว่าจะให้ยื่นอัยการสูงสุด ยืนยันว่าเป็นเรื่องของการตีความ ทั้งนี้ กฎหมาย เจตนารมณ์ของคนร่างจะมีความเห็นไปอีกทิศทางหนึ่ง แต่พอออกเป็นกฎหมาย ศาลไม่จำเป็นต้องตีความตามคนร่าง นี่เป็นหลักของนิติศาสตร์สากล ซึ่งถ้อยคำสามารถตีความได้หลายอย่าง ถือเป็นมุมของกฎหมายและความสวยงามของกฎหมาย