ประชาไท 7 มิถุนายน 2555 >>>
เส้นทางประชาชน ฉบับที่แล้วผมเขียนถึง พ.ร.บ.ปรองดอง ของพลเอกสนธิว่า เนื้อความกฎหมายที่เขียนอย่างนั้น แกจะไปปรองดองกับใคร ? ซึ่งบทความนั้น ผมเขียนขึ้นก่อนที่เขาจะนำเข้าสู่สภา
และผลของมันก็เป็นดังคาด คือ พ.ร.บ.ปรองดองฉบับนั้นได้รับการต่อต้านจากทุกสารทิศ แม้คนเสื้อแดงจะไม่ออกไปต่อต้านกลางถนน แต่คนเสื้อแดงก็มีความรู้สึกไม่พอใจ พ.ร.บ. นั้นกันค่อนข้างจะทั่วหน้า
เพราะ พ.ร.บ. นั้น ได้บัญญัติให้เรื่องราวทางการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบ 6 ปีที่ผ่านมานี้ “เจ๊า” กันหมดในทุกกรณี ก็แปลว่า คนเสื้อแดงที่ตายหรือบาดเจ็บก็ต้องจบลงที่ได้รับเงินเยียวยา โดยไม่ต้องรู้กันว่าความจริงเป็นเช่นไร ? ใครเป็นคน “สั่งฆ่าประชาชน” ทั้งยังเอาโทษเอาโพยอะไรไม่ได้กับพวกเผด็จการที่ทำลายประชาธิปไตย อันหมายถึงคณะ คมช.-ผู้กระทำการรัฐประหาร
ส่วนพวกพันธมารและพรรคประชาธิปัตย์นั้น เขารับไม่ได้กับการที่จะต้องคืนเงิน 46,000 ล้านบาทให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมๆกับการนิรโทษกรรมให้ในทุกกรณี
เมื่อเนื้อหามันเป็นอย่างนี้ การต่อต้านจากฝ่ายต่างๆมันจึงปรากฎขึ้นอย่างที่เรา-ท่านได้เห็นกันแล้วในวันที่ พ.ร.บ. นั้นเข้าสภา
ผมจึงมีความสงสัยว่า การที่บิ๊กบังเข็ญ พ.ร.บ. อย่างนี้ออกไป มัน “ไม่น่าจะมีความปรารถนาดี” ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือต่อขบวนประชาธิปไตย โดยเฉพาะคนเสื้อแดง หากแต่มันจะยิ่งทำให้สังคมมีความขัดแย้งรุนแรงมากยิ่งขึ้น มันทำให้พันธมารและกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่เคยสนับสนุนการทำรัฐประหารล้ม รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์ กลับมารวมตัวกันได้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาอยู่ในสภาพแตกแยกกันและกำลังก็เหลือน้อยเต็มที
การเสนอกฎหมายอย่างนี้จึงอ่านเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องอ่านว่า เป็นกฎหมาย ปรองดองฉบับ “ลับ-ลวง-พราง” ที่หวังจะให้เกิดสถานการณ์ปั่นป่วนไปทุกองคาพยพ และในที่สุด สังคมก็ต้องถูกบีบให้ต้องออกในทางรัฐประหาร
และจะได้ปิดประตูการเดินทางกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างถาวร !
แต่แผนการอย่างนั้นต้อง “แป๊ก” เพราะคนเสื้อแดงรู้ทันและไม่ออกไปเล่นด้วยดังที่กล่าวมา
ในสภานั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้ “ทุ่มสุดตัว” ก่อหวอดสร้างเงื่อนไขแห่งความปั่นป่วนนับแต่เปิดสภา บทบาทที่เคยลวงโลกว่าพวกเขาเป็นนักประชาธิปไตยนั้น ได้เปลือยออกมาอย่างล่อนจ้อนให้คนทั้งโลกได้เห็นกันชัดเจนว่า เนื้อแท้แล้วพวกเขาคือ อันธพาลในรัฐสภา นั่นเอง เมื่อไม่ได้ดังใจพวกเขา ก็แสดงสันดานทรามต่างๆออกมาจนหมดสิ้น ใช้คำพูดที่หยาบคายเป็นที่สุดอย่างที่เราไม่เคยได้ยินกันมาก่อน ทั้งบุกขึ้นไปลากประธานสภาลงจากเก้าอี้ เอาเอกสารขว้างใส่ประธาน ลากเก้าอี้ประธานหนี ตลอดไปถึงการบีบคอ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่เอาโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูป อาการที่พลพรรคประชาธิปัตย์แสดงออกในวันนั้น ถือว่า ได้ทำลายเกียรติภูมิ ของสภาผู้แทนราษฎร เกียรติภูมิของประธานสภา ให้หมดลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือการคาดคิดของผู้รักประชาธิปไตยมั้งมวล
ในประเทศประชาธิปไตยต่างๆนั้น ก็มีข้อขัดแย้งถึงกับทะเลาะกันในสภาเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นการทะเลาะ ชกต่อย หรือขว้างปากันระหว่าง ส.ส. กับ ส.ส. ไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะก้าวล่วงไปจนถึงประธานสภาอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ กระทำต่อสภาไทย
เห็นอาการป่าเถื่อนทางการเมืองของพลพรรคประชาธิปัตย์วันนั้นแล้ว ทำให้นึกไปถึงตอนปี 2553 ที่คนเสื้อแดงบุกไปถึงรัฐสภา เพื่อยับยั้งการออกกฎหมายควบคุมม็อบของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ มีการสร้างสถานการณ์ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ม็อบ แล้ว ส.ส.ประชาธิปัตย์ นายหนึ่งได้ลากปืนกลอูซี่ อันเป็นอาวุธสงครามออกมาถือพร้อมจะยิงเพื่อคุ้มกันนายสุเทพที่บริเวณใต้ถุนสภา
นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นเป็น “อันธพาลการเมือง” ซึ่งไม่น่าจะมาเป็น “ผู้ทรงเกียรติในสภา” เลย
สัปดาห์ที่แล้วนั้น ประเทศไทยยังโชคดีที่คนเสื้อแดงยังมีสติสัมปชัญญะ วิเคราะห์เหตุการณ์ได้ชัด จึงไม่ออกไปชุมนุมหน้าสภากับเขาด้วย เพราะหากเสื้อแดงไปชุมนุมและเกิดตีกันกับม็อบพันธมาร ก็ลองนึกดูเถิดว่าหากหน้าสภาตีกันนัวเนีย ในสภาก็ฟัดกันจนประชุมกันไม่ได้ โอกาสของ “กรรมการ” ก็จะมาในทันที นั่นคือการยึดอำนาจเพื่อรักษาความสงบ ซึ่งฝ่ายอำมาตย์คอยจังหวะอยู่ตลอดเวลา แต่เกมนี้ไม่สำเร็จเพราะคนเสื้อแดงไม่ออกไปผสมโรงดังกล่าวมา
เมื่อแผน 1 ไม่เข้าง่าม พวกเขาจึงเดินแผน 2 โดยให้สมุน คมช. 4-5 คน ไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญกล่าวหาว่า การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลเสนอต่อสภานั้น อาจมีผลทำให้เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข ตาม ม.68 แห่งรัฐธรรมนูญ 2550
ยื่นในวันที่ 30 และ 31 พฤษภาคม วันที่ 1 มิถุนายน ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้สภายุติการลงมติที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 มิ.ย. อย่างเด็ดขาด !
รับลูกกันได้อย่างรวดเร็ว ทันใจเหลือเกิน !