ทิ้งหมัดเข้ามุม
สับไก กระสุนธรรม
ทริปที่ ออง ซาน ซู จี เพิ่งมาเยือนไทยเป็นประเทศแรกในรอบ 24 ปี ตอกย้ำว่า นักการเมือง หญิงผู้นี้มีคนรักมากกว่าคนเกลียด
การเป็นนักการเมืองที่มีคนรักมากกว่าคนเกลียด ได้รับคำยกย่องชมเชยมากกว่าถูกตำหนิเสียดสีหรือด่าทอนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าเปรียบเทียบกับเมืองไทยแล้ว หลายคนไม่อาจรักษาคำชื่นชม หรือดำรงตนให้เป็นความหวังของประชาชนได้
บางคนสมัยเข้าการเมืองมาใหม่ๆ ดูภูมิฐาน มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทั้งด้านการศึกษา ครอบครัว และความใสสะอาดด้านการเงิน
แต่เมื่ออยู่ไป กลับไม่อาจดึงเอาคุณสมบัติที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้
บางคนยึดติดกับภาพความเป็นคนดี จึงขาดการมองโลกในหลายมิติ
ซ้ำร้ายคือมองผู้อื่นที่มีความเห็นแตกต่างจากตนอย่างเหยียดหยามว่าเป็นคนเลว หรือเลวกว่า โง่ หรือโง่กว่า
นักการเมืองที่น่าผิดหวังอย่างที่สุดคือกลุ่มที่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ความขัดแย้ง จึงคิดอย่างเดียวว่า จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายเป็นอันขาด จึงทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ
หากนางซู จี เป็นแบบเดียวกับนักการเมืองเหล่านี้ อาจจะชนะทหารพม่าไปตั้งแต่เมื่อ 24 ปีก่อนแล้ว
ไม่ต้องเสียเวลาถูกจับเข้าคุก ถูกกักกันอยู่ในบ้านนานรวม 15 ปี
แต่เพราะนางซู จี ยึดมั่นในการต่อสู้ที่จะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมอันเป็นพิษภัยต่อประชาธิปไตย จนในที่สุดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีก็เกิดขึ้น
มาไทยครั้งนี้ นางซู จี ยังเตือนว่า กระบวนการปฏิรูปการเมืองของพม่ายังต้องเดินหน้าไปอีกไกล ขออย่าได้มองในแง่ดีจนประมาท
ชาติอื่นๆ ได้ยินคำเตือนนี้แล้ว คงเห็นด้วยมากขึ้น ถ้าดูการเมืองของไทยประกอบการพิจารณา