เพื่อไทยเรียกร้องศาล รธน. ไม่รับพิจารณา 5 คำร้อง

ไทยรัฐ 10 มิถุนายน 2555 >>>




โฆษกเพื่อไทยเรียกร้องร้องศาล รธน. ไม่รับพิจารณา 5 คำร้อง เพราะไม่เป็นไปตามหลักมาตรา 68 ระบุหากดึงดันอาจจะได้รับการต่อต้านจากประชาชน...

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญออกแถลงการณ์ยืนยันอำนาจหน้าที่ของตนเองในการรับเรื่องพิจารณา 5 คำร้อง ที่พรรคประชาธิปัตย์และคณะยืนคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 ว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะมาหักล้างข้อกฎหมายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนต้องเสนอเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเท่านั้น จะยื่นเรื่องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะเมื่อประเมินคำชี้แจงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดแล้วไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังได้ เช่น อ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจถ่วงดุล ก็ถูกหักล้างจากนักกฎหมายและนักวิชาการ ก็ออกมาประสานเสียงว่าไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจไว้
   "ส่วนที่อ้างว่าประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ได้สองทางนั้น ก็ถูกหักล้างเช่นกันจากเอกสารของศาลรัฐธรรมนูญเองที่ปรากฏบนเว็บไซต์ศาลเอง รวมทั้งหนังสือ 10 ปี ศาลรัฐธรรมนูญ และหนังสือความรู้ทั่วไปศาลรัฐธรรมนูญก็ระบุชัดเจนว่าการร้องต้องยื่นอัยการสูงสุดเท่านั้น แม้แต่ล่าสุดอ้างว่าแปลจากรัฐธรรมนูญฉบับภาษาอังกฤษนั้น ตนมองว่าไปกันใหญ่ ทั้งที่ต้นร่างรัฐธรรมนูญเป็นภาษาไทย ขอเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองโดยมีประชุมและมีมติไม่รับคำร้องทั้ง 5 ไว้พิจารณา ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด" โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า หากศาลรัฐธรรมนูญยังดึงดันที่จะไต่สวนเรื่องนี้ต่อไป ก็จะได้รับการต่อต้านจากประชาชน อาจจะทำให้เกิดวิกฤติบ้านเมือง และเป็นปัญหาร้ายแรงต่อประเทศ แม้ตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมองว่าตนเองมีเสียงข้างมากและชนะ แต่จะเป็นชัยชนะที่อยู่บนความสูญเสียของบ้านเมือง ไม่คุ้มค่าต่อการตัดสินใจเสียงข้างมากในครั้งนี้ นอกจากนี้ การบังคับใช้รัฐธรรมนูญต้องสอดคล้องกันทั้งระบบ เมื่ออัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ยุติเรื่องแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญควรนำเหตุผลของอัยการสูงสุดไปพิจารณาและสามารถนำมาเป็นข้ออ้างในการยกคำร้องได้ โดยเหตุผลคือผู้ร้องใช้สิทธิ์ร้องสองทาง เมื่ออัยการสูงสุดยุติเรื่อง เพราะไม่มีมูล ก็ไม่จำเป็นต้องไต่สวนต่อไป หากศาลยังเดินหน้าไต่สวน โดยอ้างเรื่องของอำนาจว่าแยกกับอัยการสูงสุดนั้นจะเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชน และเกิดความขัดแย้งรอบใหม่ ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากต้องรับผิด