
เพราะ การเดินทางเข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะ เกิดขึ้นหลังจากพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้อง ถิ่นที่ปทุมธานี และมีปฏิกิริยาของ "คนเสื้อแดง" บางกลุ่ม-โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 91 ศพ ติดตามมา
ที่ตามมาด้วยโดยอัตโนมัติก็คือการ "เสี้ยม" จากฝ่ายที่ยืนตรงข้ามกับรัฐบาล
ไม่เพียงแต่เสี้ยมให้รอยแยกที่แคบลงระหว่าง พล.อ.เปรม กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถ่างกว้างออกไปอีกเท่านั้น ยังตอกลิ่มให้รัฐบาล พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง เพิ่มความระแวงที่มีต่อกันด้วย
คำถามก็คือ แล้วประชาชนทั่วไปคิดเช่นนั้นหรือไม่
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนผ่านโพลใหญ่สองสำนักเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนว่า-ไม่เป็นไปตามที่แรงเสี้ยมหวังไว้
เอแบคโพลล์ เปิดเผยผลวิจัยเรื่องเสียงสะท้อนของสาธารณชนต่อความปรองดองของคนในชาติ จริยธรรมการเมือง พบว่า
ร้อย ละ 49.8 เห็นว่าการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะเข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ช่วยสร้างความปรองดองได้ดีกว่าการออกกฎหมายปรองดองและนิรโทษกรรม
เพราะเป็นรูปธรรม รวดเร็ว เห็นชัด ไม่ขัดแย้งและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ขณะที่ร้อยละ 26.0 ไม่คิดว่าทั้ง 2 อย่างจะช่วยสร้างความปรองดอง ส่วนร้อยละ 22.6 เห็นว่าทั้ง 2 อย่างช่วยสร้างความปรองดอง
โดยที่ร้อยละ 73.1 เชื่อว่ามีขบวนการขัดขวางความปรองดอง เพราะจะสูญเสียทั้งอำนาจและผลประโยชน์ หากประเทศชาติมีความสงบสุขอย่างแท้จริง
สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในเรื่องเดียวกัน และพบว่า
ร้อยละ 53.19 เห็นว่าเป็นการปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม แสดงถึงความเคารพผู้ใหญ่ในบ้านเมือง
ร้อยละ 27.23 น่าจะมีเหตุผลอื่นมากกว่า อาจมีการปรึกษาหารือในเรื่องสำคัญ หรือเรื่องที่ไม่ต้องการเปิดเผยให้บุคคลภายนอกรับรู้
ร้อย ละ 14.47 เป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง บรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น และร้อยละ 5.11 เป็นเรื่องของการเมืองที่รัฐบาลต้องการสร้างภาพ
ขณะที่ร้อยละ 43.30 มองว่ามีนัยสำคัญทางการเมือง รัฐบาลต้องการสื่อสารให้เห็นถึงความพร้อมเดินหน้าสร้างความปรองดองอย่างแท้ จริง ร้อยละ 36.78 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 19.92 ไม่มีนัยสำคัญทางการเมือง
ทั้งนี้ ร้อยละ 54.79 พึงพอใจกับการพบกันครั้งนี้ ร้อยละ 38.70 เฉยๆ เป็นเรื่องปกติ
ร้อยละ 6.51 ไม่พอใจเพราะอาจมีวัตถุประสงค์แอบแฝง สร้างความไม่พอใจให้แก่คนบางกลุ่ม
ส่วนจะทำให้บรรยากาศความปรองดองของบ้านเมืองดีขึ้นหรือไม่ ร้อยละ 48.65 เชื่อว่าดีขึ้นเพราะการมีท่าทีอ่อนน้อม ไม่ถือทิฐิของรัฐบาลเป็นการส่งสัญญาณปรองดอง ร้อยละ 45.56 เหมือนเดิม
และร้อยละ 5.79 ทำให้บรรยากาศปรองดองแย่ลง
สิ่งที่ประชาชนอยากฝากถึงนายกฯ หลังเข้าพบ พล.อ.เปรม คือ ร้อยละ 81.95 สิ่งที่รัฐบาลทำขอให้มาจากความตั้งใจจริง ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่มีผลประโยชน์อื่นแอบแฝง ร้อยละ 80.49 รัฐบาลต้องเป็นผู้นำและตัวอย่างที่ดีของการสร้างปรองดอง
ร้อยละ 77.56 ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ร้อยละ 74.63 รัฐบาลเร่งแก้ของแพง น้ำท่วม คอร์รัปชั่น
และร้อยละ 70.24 ควบคุมดูแลพฤติกรรมของนักการเมืองโดยเฉพาะในการประชุมสภา
ภาระหน้าที่ของการเป็นรัฐบาลนั้นไม่ง่ายนัก
ยิ่งเป็นรัฐบาลในช่วงที่ความคิดของสังคมแยกออกเป็นฝั่งเป็นขั้วอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งยากขึ้นไปอีก
ฉะนั้น ในขณะที่ภารกิจปรองดองก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อจะได้มีโอกาสทำงานอื่นโดยราบรื่นขึ้น
ภารกิจอำนวยความยุติธรรมเพื่อล้างปัญหา "สองมาตรฐาน" อันเป็นหนึ่งในต้นตอของความแตกแยก ก็ต้องเดินหน้าต่อไปเช่นกัน
ไม่นับว่าภารกิจหลักอย่างการดูแลปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ที่ยังต้องทำให้เป็นปกติสม่ำเสมอ
ทั้งหมดนี้มิได้ขัดแย้งกัน ตรงข้ามกลับเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน
และถ้าทำเป็น-ทำได้ จะเป็นแรงเสี้ยมจากที่ใดก็ไร้ความหมาย