แม้จะแคล้วคลาดและรอดตายจากการถูก “ยุบพรรค” มาหลายต่อหลายครั้ง แต่กับกรณีเงินบริจาค “บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ “อีสท์วอเตอร์” ดูเหมือนว่า เที่ยวนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญ
ยิ่งเมื่อ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “ดีเอสไอ” ของ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” กระโดดเข้ามารับลูกเต็มสูบด้วย พร้อมมีความเห็นว่าส่อขัดต่อกฎหมายด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าโอกาสที่จะดำรงสถานะเป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยริบหรี่ลงไปทุกที
สำหรับกรณีอีสท์วอเตอร์นั้น เกิดขึ้นเมื่ออดีต ส.ว. จอมร้องเจ้าเก่า “นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ได้ยื่นขอให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตรวจสอบงบการเงินของพรรคประชาธิปัตย์ว่าอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 62, 45, 82 ประกอบมาตรา 42 วรรค 2 และมาตรา 93 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2555
ทั้งนี้ เนื่องจากเงินบริจาคของบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด (มหาชน) หรือบริษัท อีสท์วอเตอร์ ที่มอบให้แก่สำนักนายกฯ เพื่อช่วยน้ำท่วมเมื่อปี 2553 จำนวน 1 ล้านบาทผ่านพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์นั้นปรากฏข้อพิรุธในหลายประเด็น เริ่มตั้งแต่ข้อพิรุธว่า ได้นำเข้าบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้นพรรคจะผิดตามข้อกฎหมายที่ห้ามบริษัทที่มีรัฐถือหุ้นบริจาคให้พรรคการเมือง แต่กรณีนี้โทษไม่หนักถึงขั้นยุบพรรค แต่ที่หนักคือหากลงบัญชีไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง พรรคประชาธิปัตย์อาจถูกยุบได้
นอกจากนี้ยังมีข้อพิรุธเกี่ยวกับขั้นตอนที่ไม่ชอบมาพากล ซึ่งนายเรืองไกรระบุว่า หากรับเป็นเงินสดจริงโดยปกติแล้วรับมาเท่าไหร่ก็สามารถทำบัญชีแล้วส่งเข้าสำนักนายกรัฐมนตรีได้ทันที แต่กลับกลายเป็นว่ามีการซื้อเป็นแคชเชียร์เช็ค แถมเวลาเคลียริ่งเช็คก็ออกเป็นเช็คใบเดียว 36 ล้านบาท จาก 191 ผู้บริจาค ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมต้องรวมเป็นใบเดียวกัน อีกทั้งเช็คบริจาคของอีสท์วอเตอร์ลงวันที่ 4 พ.ย. ประชาธิปัตย์มอบให้สำนักนายกฯ วันที่ 1 ธ.ค. และใบเสร็จออกวันที่ 2 ธ.ค. เท่ากับว่ามีการเก็บเงินบริจาคไว้กับประชาธิปัตย์ 1 เดือน ก่อนจะถอนออกมาพร้อมๆ กับผู้บริจาครายอื่นเพื่อมอบให้สำนักนายกฯ ซึ่งกฎหมายพรรคการเมืองบอกว่าต้องลงบัญชีรายรับไว้
“การที่นายสาทิตย์ออกมายอมรับเองว่ามีผู้บริจาคทั้งสิ้น 191 ราย รวมเป็นเงินสุทธิ 36,454,909 บาท มีการซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเงินไว้ในนามของพรรคตลอดเดือนพฤศจิกายน 2553 แต่จากการตรวจสอบรายงานการรับบริจาคที่พรรคประชาธิปัตย์รายงานต่อ กกต. ในเดือนพฤศจิกายนไม่พบมีการรายงาน ดังกล่าวแต่อย่างใด และการเงินของพรรคไม่มีการแสดงรายรับดังกล่าวไว้ในงบรายได้ ขณะเดียวกัน ไม่ได้แสดงรายจ่ายตามยอดในแคชเชียร์เช็คที่จ่ายออกไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย จึงส่อเข้าลักษณะการไม่ลงบัญชีให้ถูกต้อง”
“ผมมีข้อสงสัยว่าเงินบริจาคที่มาพักอยู่ในบัญชีของพรรค ดอกเบี้ยที่งอกขึ้นมาเป็นของใคร ขณะที่มีการรายงานยอดเงินเข้าทั้งปี 2553 อยู่ที่ 22 ล้านบาทเศษ แต่ไม่มียอดเงิน 36 ล้านบาทเศษ จึงขอให้นายทะเบียนฯดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ด้วยการเรียกสมุดบัญชีรายวัน บัญชีแยกประเภท สำเนาใบเสร็จ เอกสารการเปิดบัญชีธนาคาร และเอกสารประกอบการลงบัญชีเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการพิจารณาตรวจสอบอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม”นายเรืองไกร แจกแจงรายละเอียดของความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ดังนั้น สรุปข้อพิรุธและคำถามที่เกิดขึ้นก็คือ
1. ถ้าบริษัทอีสท์วอเตอร์ ประสงค์ที่จะบริจาคเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เหตุใดถึงไม่ไปบริจาคเข้าบัญชีของสำนักนายกรัฐมนตรี เหตุใดจึงต้องมาฝากผ่านบัญชีพรรคประชาธิปัตย์ และผู้บริจาคทั้ง 191 รายที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันหรือไม่
2. แคชเชียร์เช็คดังกล่าว สั่งซื้อโดยใคร ใช้เงินจากบัญชีใดมาซื้อ มีการใช้เงินสดที่เกินกว่า 2 ล้านบาทมาซื้อหรือไม่ ถ้ามี ได้แจ้งการทำธุรกรรมให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทราบหรือไม่ และมีค่าการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแคชเชียร์เช็คเป็นจำนวนเงินเท่าใด
3. หากเป็นการเบิกถอนเงินจากธนาคารกรุงไทยด้วยกัน เงินจำนวนดังกล่าวเคยอยู่ในบัญชีของใคร เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ หรือเป็นพรรคการเมืองใดหรือไม่ และเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทใด ออมทรัพย์หรือกระแสรายวัน มีเงินเปิดบัญชีครั้งแรกเท่าใด ใครเป็นผู้มีอำนาจลงนามเบิกถอนเงิน มีรายงานการประชุมประกอบการเปิดบัญชีหรือไม่ วัตถุประสงค์ในการเปิดบัญชีคืออะไร บัญชีปิดไปแล้วหรือยัง ถ้าปิด ปิดเมื่อใด มีเงินเหลือจากการปิดบัญชีเท่าใด มีดอกเบี้ยเกิดขึ้นหรือไม่
นอกจากนี้ ที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งก็คือ ข้อมูลที่นายเรืองไกรไปตรวจสอบนั้นได้มาจากเว็บไซต์ของพรรคประชาธิปัตย์ (www.democrat.or.th) กระทั่งทำให้เกิดการเชื่อมโยงต่อไปว่า การปิดตัวของเว็บไซต์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเป็นเวลาหลายวัน แถมยังต้องล็อกอินและไม่มีคำอธิบายที่ชัดแจ้งมานั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้นหรือไม่
เพราะการที่ นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ตอบอย่างอ้อมแอ้มในข้อซักถามว่า ข้อมูลทุกอย่างที่ออกทางเว็บไซต์ของประชาธิปัตย์ ถูกต้องทั้งหมดหรือไม่ว่า “ไม่ทราบ เป็นเรื่องของทีมโฆษก” ก็ดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวแบบขอไปทีเสียมากกว่า
เช่นเดียวกับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่แถไถไปในทำนองเดียวกันว่า “ไม่ทราบว่าเว็บไซต์พรรคที่มีปัญหาขัดข้องและสามารถแก้ไขได้แล้วหรือยัง แต่ไม่น่าเกี่ยวข้องกับเอกสารเรื่องเงินบริจาคดังกล่าวเพราะเรื่องนี้ได้มอบให้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ชี้แจงแล้ว”
พุทโธ่เอ๋ย คนระดับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่รู้ แล้วอ้ายอีหน้าไหนเล่าจะรู้ว่าเว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาเพราะเรื่องอะไร
กระทั่งสุดท้ายก็มีความชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับเว็บไซต์เมื่อนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ ผู้อำนวยการพรรค ปชป. กล่าวว่า เว็บไซต์พรรคล่มมีสาเหตุมาจากการที่การไฟฟ้านครหลวง เขตสามเสน มีหนังสือมาถึงพรรค ขอดับไฟเพื่อเปลี่ยนเครื่องวัดไฟใหม่ โดยขอดับไฟวันที่ 18 พฤษภาคม แต่ทางพรรคขอเป็นวันที่ 19 พฤษภาคม เนื่องจากวันที่ 18 พฤษภาคม เป็นวันทำงาน เมื่อการไฟฟ้าดับไฟ ทางพรรคก็ต้องปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด และเมื่อเปิดใช้เครื่องก็ต้องมีการบูต เครื่องใหม่ พบว่ามีข้อมูลบางส่วนหายไปจึงเกรงว่าจะเป็นข้อมูลสำคัญ จึงได้เปิดเพียงหน้าเว็บเอาไว้ แต่ไม่สามารถเข้าไปดูข้อมูลได้ คาดว่าจะซ่อมเสร็จภายในวันที่ 23 พฤษภาคม เมื่อซ่อมเสร็จจะนำเอกสาร หลักฐานต่างๆ ของการไฟฟ้ามาชี้แจงให้ทราบอีกครั้ง
กระนั้นก็ดี ความชัดเจนจากผู้อำนวยการพรรคก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะข้ออ้างว่าไฟดับจนข้อมูลบางส่วนหายและจำเป็นต้องปิดเว็บซ่อมเป็นเวลาหลายวันนั้น ไม่ใช่เหตุผลที่เหมาะสม เนื่องจากวิญญูชนไม่เข้าใจว่า ไฟดับทำให้ข้อมูลหายได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้กรณีเงินบริจาคอีสท์วอเตอร์มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เห็นจะหนีไม่พ้นการที่ดีเอสไอภายใต้การนำของนายธาริตมีความเห็นชัดเจนและตรงไปตรงมาว่า “ผิดกฎหมาย” เพราะนั่นน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้น้ำหนักแห่งคดีมีมากขึ้น กระทั่งทำให้สมาชิกพรรคแมลงสาบดิ้นเป็นไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวกเลยทีเดียว
“ขณะนี้ข้อเท็จจริงชัดเจนแล้วตามที่เป็นข่าว เนื่องจากมีการเปิดบัญชีรับบริจาคในนามพรรคประชาธิปัตย์ ที่ธนาคารกรุงไทย โดยใช้ชื่อบัญชีว่า “ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย” และมีการประกาศเชิญชวนให้ประชาชนไปบริจาค และมีผู้บริจาคจำนวนมาก และหนึ่งจำนวนผู้บริจาค คือ บริษัท อีสท์วอเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่รัฐถือหุ้นมากที่สุด จึงผิดต่อ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ห้ามรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือหุ้นส่วนใหญ่บริจาคเงินให้กับพรรคการเมือง ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลควบคุมองค์กรรัฐวิสาหกิจที่รัฐถือหุ้นส่วนใหญ่ ถูกใช้อำนาจทางการบริหารบังคับให้บริจาคเงินเข้าพรรค การเมือง และกฎหมายไม่ต้องการให้พรรคการ เมืองได้ประโยชน์จากการกระทำดังกล่าวซึ่งเป็นความผิดทางอาญา ว่าด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ”
“สำหรับประเด็นเมื่อพรรคประชาธิปัตย์รับบริจาคมาแล้ว มีการถอนเงินจำนวนหนึ่งออกจากบัญชีบริจาคแล้วนำไปบริจาคต่อเข้าบัญชีกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ฟื้นฟูผู้ประสบภัยของสำนักนายกรัฐมนตรี จึงต้องพิจารณาว่าการกระทำลักษณะดังกล่าวเป็นความผิดที่ได้กระทำลงสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเท่ากับว่าบริษัท อีสท์วอเตอร์ บริจาคเงินเข้าเข้าบัญชีพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้น นำเงินบริจาคของบริษัท อีสท์วอเตอร์ ไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งประเด็นดังกล่าวถกเถียงกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์จากเงินบริจาคหรือไม่ ขณะพนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะสอบถาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของ กกต. ขอย้ำว่าดีเอสไอมุ่งเน้นเอาผิดกับบริษัทไม่ได้พุ่งเป้าเอาผิดกับพรรคการเมือง” อดีตเด็กในคาถาของอดีตกำนันแห่งเขาแพงชี้เป้าความผิด พร้อมระบุด้วยว่า เตรียมนำเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณาเป็นคดีพิเศษในการประชุมวันที่ 27 มิถุนายน เนื่องจากคดีดังกล่าวมีความซับซ้อน อีกทั้งผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงและเกี่ยวพันกับฝ่ายการเมือง เป็นผู้ทรงอิทธิพลจะเข้าข่ายอำนาจการดำเนินคดีของดีเอสไอ
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่วิกฤตการณ์แรกสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะก่อนหน้านี้ พรรคประชาธิปัตย์เผชิญกับข้อหาอันสาหัสสากรรจ์จากเหตุการณ์ในทำนองนี้มาแล้วจากคดีคือ คดีได้รับเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) และคดีเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ซึ่งแม้ในกาลต่อมาศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเป็นคุณกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ได้ก่อให้เกิดข้อกังขาตามมามากมาย
แน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเกมระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ที่ต่างชิงไหวชิงพริบทางทางการเมือง โดยขณะที่พรรคประชาธิปัตย์หยิบกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ พ้นจากความเป็น ส.ส. เนื่องจากไม่ได้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งยื่นยุบพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยก็สวนกลับด้วยการขุดคดีอีสท์วอเตอร์ขึ้นมายื่นขอยุบพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน
ส่วนใครจะอยู่ หรือใครจะไป อีกไม่นานก็คงทราบ แต่ถามว่าประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ คำตอบชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า ไม่มี
กระนั้นก็ดี นอกจากเรื่องอีสท์วอเตอร์ที่กำลังกลายเป็นปัญหาหนักอกที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกและตอบไม่ถูกแล้ว อีกคดีหนึ่งที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มทุกทีจากฝีมือของอดีตเด็กในคาถาของกำนันสุเทพก็คือ คดีที่ดินเขาแพง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เพราะดูเหมือนว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษในยุคนายธาริต เพ็งดิษฐ์ที่เปลี่ยนจากสีฟ้าไปเป็นสีแดงจะขะมักเขม้นเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ยิ่งเมื่อสำนวนคดีถูกส่งเข้ามาอยู่ในมือของ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มีความชัดเจนว่า เลือกยืนอยู่ข้างไหนไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับเลือกให้มาเป็นหัวหน้าคุมสำนวนคดีล้มเจ้าและมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง “นายจตุพร พรหมพันธุ์” มาแล้ว ก็ยิ่งมีความชัดเจนว่าต้องการห้ำหั่นนายสุเทพให้ถึงที่สุดโดยไม่มีการประนีประนอม
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ประเวศน์ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม พ.ต.ท.ชินโชติ แดงสุริศรี ผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา และ พล.ต.ต.วิทูร ธรรมรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการครอบครองที่ดินเทือกเขาแพง อ.เกาะสมุย ซึ่งคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้รับเรื่องเป็นคดีพิเศษที่ 63/2555 พร้อมกันนี้ยังได้ทำการบินสำรวจพื้นที่บริเวณที่มีปัญหาการออกเอกสารสิทธิอีกด้วย
ทั้งนี้ในกลุ่มผู้ครอบครองที่ดินเขาแพง ปรากฏชื่อของนายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รวมอยู่ด้วย
พ.ต.อ.ประเวศน์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินเขาแพงว่า พื้นที่ประมาณ 110 ไร่ที่มีการออกเอกสารสิทธิที่ดินนั้น เดิมมีการครอบครองเพียง 60 ไร่เท่านั้น ส่วนที่ดินอีกแปลงหนึ่งเดิมเป็น ส.ค. 1 จำนวน 20 ไร่ เมื่อนำมาออกเอกสารสิทธิกลายเป็น 40 ไร่ และเมื่อนำมาออกโฉนด พบว่าเนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็น 60 ไร่
งานนี้คงต้องบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังเผชิญวิบากกรรมครั้งสำคัญ และดูเหมือนว่า โอกาสรอดจะมีเหลืออยู่ไม่มากนัก.....