พ.ร.บ.ปรองดอง-ร่างแก้ ม.112 เข้าสภาแบ่งแยกมวลชน

โลกวันนี้ 28 พฤษภาคม 2555 >>>


ครก.112 เตรียมนำร่างแก้ไขมาตรา 112 พร้อมรายชื่อผู้สนับสนุนจากทั่วประเทศ 39,185 คน (ตัวเลขอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2555) เสนอต่อสภาวันที่ 29 พ.ค. นี้ ระบุการรณรงค์ครั้งนี้ทำให้ได้รู้ว่าสังคมไทยเปลี่ยนแปลงจนยากจะกลับมาเหมือนเดิม คนรากหญ้าเข้าใจปัญหาที่เกิดจากการถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพโดยการใช้กฎหมายที่บิดเบือนมากขึ้น อำนาจการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ได้อยู่ในมือของคนไม่กี่คนอีกต่อไป “วรเจตน์” เตือนอย่าดูถูกพลังประชาชน ชี้การเสนอแก้มาตรา 112 ไล่เลี่ยกับเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง จะแบ่งแยกมวลชนระหว่างฝ่ายที่ต้องการประชาธิปไตยสมบูรณ์กับผู้ที่ยอมรับประชาธิปไตยครึ่งใบ เชื่อเป็นทางแยกสำคัญที่จะทำให้ไม่สามารถร่วมเดินต่อไปด้วยกันได้อีก
วันที่ 27 พ.ค. 2555 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) จัดกิจกรรมรณรงค์ทางการเมือง “บันทึก 112 วัน แก้ ม.112” โดยมีนักวิชาการและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก
ทั้งนี้ ครก.112 ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า นับแต่รัฐประหารวันที่ 19 ก.ย. 2549 มีผู้ถูกดำเนินคดีตาม ม.112 มากขึ้น และผู้ถูกกล่าวหาก็ถูกละเมิดสิทธิมากขึ้น เช่น ไม่ได้รับการสืบพยานอย่างเพียงพอ ไม่ได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราว ไต่สวนคดีโดยปิดลับ ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้ผู้รักความเป็นธรรมและรักประชาธิปไตย ทำให้มีการเรียกร้องให้ยุติใช้ ม.112 ละเมิดสิทธิมาอย่างต่อเนื่อง และรวมตัวกันเพื่อใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญรวบรวมรายชื่อเสนอร่างแก้ไข ม.112 เข้าสภา

ได้ 38,281 ชื่อหนุนแก้

การรวบรวมรายชื่อและให้ความรู้กระทำในทุกภูมิภาคของประเทศ บัดนี้รวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนได้ 38,281 คน แยกเป็นภาคกลาง 2,632 คน ตะวันออก 208 คน เหนือ 2,605 คน อีสาน 22,357 คน และใต้ 118 คน แต่มีบางส่วนที่กรอกแบบฟร์อมไม่ครบถ้วนตามกำหนด ทำให้มีรายชื่อพร้อมส่งสภาได้ 27,291 คน การรณรงค์ครั้งนี้ทำให้ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปของสังคมขนาดใหญ่ จนอาจเรียกได้ว่า “ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์” ซึ่งสะเทือนสังคมไทยหลายประการด้วยกันคือ
ประการแรก นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 นี่เป็นครั้งแรกที่การเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้แผ่ซ่านลงลึกไปถึงผู้คนรากหญ้า ปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์จึงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากดินถึงฟ้า

คนรากหญ้าเข้าใจมากขึ้น

ประการที่ 2 ที่การรณรงค์ได้รับการตอบรับอย่างดีเพราะประชาชนรากหญ้าเข้าใจว่าการคุกคามและลิดรอนสิทธิเสรีภาพส่งผลเลวร้ายต่อชีวิตความเป็นอยู่อันปรกติสุขของพวกเขาและสังคมโดยรวม การใช้กฎหมายโดยบิดเบือนเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม กลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์ ทำให้ประชาชนไม่สามารถพูดถึงปัญหาที่ใหญ่คับฟ้าเมืองไทยได้
ประการที่ 3 การต่อต้านปรากฏการณ์ 112 ริกเตอร์ ทั้งการปิดกั้นพื้นที่เคลื่อนไหว ปิดกั้นการนำเสนอข่าวสาร เป็นการขัดขืนความเป็นจริงทางสังคมที่ว่าประชาชนไม่สามารถยอมรับสถานะไพร่ฟ้าผงธุลีได้อีกต่อไป นอกจากนั้นรัฐบาลและพรรคการเมืองยังปิดพื้นที่การใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติด้วยการปฏิเสธว่าจะไม่แก้ไข ม.112 ทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการถกเถียงกันในสภา แต่ความไร้เหตุผลเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย

ไม่มีใครชี้นำได้อีก

ประการสุดท้าย แม้ว่าจะมีการต่อต้านจากชนชั้นนำ และปราศจากการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย ประชาชนคนรากหญ้าจำนวนมากก็ยังยืนยันที่จะเดินหน้าร่วมกับ ครก.112 เพื่อเสนอให้รัฐสภาแก้ไขกฎหมาย นี่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าประชาชนเป็นตัวของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้การชี้นำของพรรคการเมือง แม้จะเป็นพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนก็ตาม

นัด 9 โมงเช้าวันที่ 29 พ.ค.

การยื่นร่างแก้ไข ม.112 ต่อสภาจะมีขึ้นในวันที่ 29 พ.ค. นี้ ขอเชิญชวนผู้ที่ต้องการเห็นรัฐสภาซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของผู้แทนปวงชนชาวไทยได้พิจารณาร่างกฎหมายนี้มารวมตัวกันที่หมุดคณะราษฎร เวลา 09.00 น. เราจะตั้งขบวนเดินนำรายชื่อทั้งหมดใส่กล่องสีดำไปยังรัฐสภาเพื่อมอบเอกสารให้ ส.ส. ผู้เป็นตัวแทนประชาชน และหลังยื่นร่างแก้ไขแล้ว ครก.112 จะยังไม่สลายตัว จะติดตามและต่อสู้จนกว่าปัญหาอันเนื่องมาจาก ม.112 และกรณีที่เกี่ยวข้องจะได้รับการแก้ไข
นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการ กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อยื่นเรื่องแล้วจะต้องแก้ไขในทันที แต่หวังจะปลุกให้สังคมตื่นตัวและเข้าใจว่าจะปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นตลอดไปไม่ได้

อย่าดูถูกพลังประชาชน

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ สมาชิกคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร กล่าวว่า ฝ่ายการเมืองไม่ควรประเมินพลังของประชาชนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงต่ำเกินไป ขณะนี้อำนาจการเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ในกำมือของคนเพียงไม่กี่คนอีกต่อไปแล้ว แม้แต่แกนนำคนเสื้อแดงหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะชี้นำประชาชนได้ทั้งหมดอีกต่อไป

ทางแยกสำคัญของมวลชน

   “วันนี้ที่ 29 พ.ค. นี้เราจะยื่นร่างแก้ไข ม.112 ต่อสภา จากนั้นมีเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าสภา นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่จะเป็นทางแยกสำคัญให้คนเลือกเดิน คนที่รักประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จะเดินเส้นทางหนึ่ง ส่วนคนที่รักประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ก็จะเดินอีกเส้นทางหนึ่ง คงยากที่จะเดินร่วมกันต่อไปได้ เบื้องต้นในแนวทางของเราอาจมีคนเดินร่วมทางไม่มากนัก แต่เชื่อว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคตอย่างแน่นอน เมื่อเราพยายามลุกขึ้นแล้วต้องยืนตัวตรงให้ได้ เรารู้ว่าไม่ง่ายเพราะแรงต่อต้านมีมาก แต่ความสำเร็จเป็นคนละเรื่องกับความพยายาม วันนี้เราได้พยายามแล้ว ความสำเร็จก็จะตามมาในอนาคต”