มติชน 6 เมษายน 2555 >>>
ที่พรรคภูมิใจไทย ย่านพหลโยธิน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการผลักดัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล บุตรชาย ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แทนนายชวรัตน์ ว่าเมื่อเขาพ้นการถูกตัดสิทธิทางการเมือง เขาก็มีสิทธิที่จะเล่นการเมืองได้ เมื่อถามว่า นายชัย ชิดชอบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตประธานรัฐสภา ระบุว่า นายอนุทิน เหมาะที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนถัดไป นายชวรัตน์กล่าวว่า เป็นความคิดเห็นของนายชัย ตนไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ ตนกับนายอนุทิน มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะเป็นพ่อลูกกัน เมื่อถามว่าหากคนในบ้านเลขที่ 111 กลับมา จะทำให้พรรคภูมิใจไทย มีความเข้มแข็งมากขึ้นหรือไม่ นายชวรัตน์กล่าวว่า เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะจะมีบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญด้านการเมืองเพิ่มมากขึ้น ที่จะมาช่วยกันทำงานแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ตนก็หวังที่จะให้ประเทศชาติมีความสงบสุข ตนก็จะถือโอกาสวางมือ เพื่อที่จะได้พักผ่อนบ้าง และหากจะให้เกิดบรรยากาศปรองดอง จะต้องมีการถอยคนละก้าวเพื่อที่จะทำให้ฟ้าใสขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายเกรงว่าข้อเสนอของการปรองดอง จะมีการออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับใครบางคน นายชวรัตน์กล่าวว่า แล้วแต่คนจะมอง บางคนก็ไม่ได้มองแบบนั้น เพราะตนมองว่า คนเราสามารถทำผิดได้ทุกคน และคนที่ผิดก็ต้องให้โอกาสเขาแก้ไข เมื่อเขาแก้ไขแล้ว เราก็ต้องรู้จักให้อภัย เรื่องหนักก็จะกลายเป็นเบา ต้องรู้จักอโหสิให้กัน และต้องมีคุณธรรม ทั้งนี้ เนื่องในวาระที่พรรคภูมิใจไทย ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ถือว่าพรรคมีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จากที่มี ส.ส. 23 คน เพิ่มเป็น 34 คน ซึ่งถือว่าพรรคสามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพ เมื่อถามว่า ในอนาคตพรรคภูมิใจไทยจะมีการควบรวมกับพรรคอื่นเพื่อความเข้มแข็งหรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า เรื่องของการเมือง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศก็สามารถที่จะทำได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชวรัตน์ได้ส่งสารจากหัวหน้าพรรค สู่ปีที่ 4 พรรคภูมิใจไทย ภูมิใจ...ที่เป็นตัวของตัวเอง ถึงสมาชิกพรรคทั่วประเทศ กว่า 2 แสนฉบับ โดยความตอนหนึ่งระบุว่า พรรคภูมิใจไทย กำเนิดขึ้นมาเนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ อย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างกว้างขวาง ดังนั้น เพื่อเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาของชาติ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จึงได้มีการก่อตั้งพรรคภูมิใจไทยขึ้นมาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพรรคอยู่ในฐานะพรรคการเมืองที่มีเสียงในสภา ลำดับที่ 3 การก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 นับเป็นย่างก้าวที่สำคัญ และท้าทาย ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำหรับการดำเนินกิจกรรมของพรรคเป็นอย่างมาก ผู้บริหาร ส.ส. สมาชิกพรรค และเจ้าหน้าที่ทุกคน ยังคงตั้งปณิธานที่จะยึดมั่นในการปกป้องสถาบัน
สารระบุว่า พรรคภูมิใจไทย มีความชัดเจนในการเป็นตัวของตัวเอง ที่ผ่านมาเมื่อครั้งเป็นรัฐบาล ก็มีผลงานที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งเรื่องการปกป้องสถาบัน และโครงการถนนปลอดฝุ่น เมื่อเป็นฝ่ายค้านเราได้ใช้บทบาทในการทำงานเป็นฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทย ยังเป็นพรรคการเมืองแรกๆ ที่มองเห็นปัญหา แนวทางแก้ไขปัญหา และนำเสนอทางออกของการแก้ไขปัญหาในเรื่องของการสร้างความปรองดองมาตั้งแต่ต้น แต่เราพบว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้เดินหน้าไม่ได้เลย นั้นคือพรรคการเมืองแกนนำฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ล้วนใช้ทิฐิมานะ เป็นตัวตั้ง ไม่รู้จักที่จะประนีประนอมซึ่งกันและกัน ไม่รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน หากยังคงเป็นสถานการณ์ขิงก็รา ข่าก็แรง ยังเกิดขึ้นอยู่เช่นนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่กว่าเดิม และเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นในชาติไทยเรา ดังนั้น พรรคภูมิใจไทย จะใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดในกระบวนการสร้างความปรองดอง เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า และต้องการเรียกร้องให้คู่ขัดแย้ง รวมทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ได้โปรดสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดองให้กลับสู่ความสงบ สันติ และสามัคคี
