
ทำคนครึ่งค่อนโลกใจหายใจคว่ำ
กับเหตุแผ่นดินไหวขนาดความแรง 8.7 ริกเตอร์ ที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ตรงกับช่วงบ่ายแก่ๆ ตามเวลาประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ที่ผ่านมา
ความแตกตื่นภัยคลื่นยักษ์ สึนามิ
ว่าอาจนำมาซึ่งหายนะซ้ำรอยเหตุการณ์ปี 2547 แผ่ลามไปทั่วทุกประเทศพื้นที่ติดมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศไทย 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
ทั้งยังส่งผลให้การประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 2 ต้องหยุดชะงักกลางคัน
ประธานรัฐสภาสั่งปิดประชุมเลื่อนไปประชุมใหม่วันที่ 18-19 เม.ย. หลังใช้เวลาประชุมไป 2 วัน รวม 15 ชั่วโมง ผ่านความเห็นชอบไปได้เพียง 3 มาตรา
ขณะที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล ยืนยันถึงรัฐสภาจะยืดเวลาพิจารณาวาระ 2 ออกไป แต่คาดว่าการลงมติผ่านวาระ 3 จะมีขึ้นได้ในวันที่ 8 พ.ค.
เมื่อคลื่นสึนามิไม่ได้ก่อตัวรุนแรงตามคาด
หลังทางการประกาศถอนคำสั่งเตือนภัยฉุกเฉินเพียงไม่กี่ชั่วโมง บรรยากาศการเมืองไทยก็ปรับตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
ตามโปรแกรมการเมืองช่วงสงกรานต์
แม้สีสันจะอยู่ตรงที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีถือโอกาสเดินทางกลับไปฉลองปี๋ใหม่เมือง ที่จังหวัดเชียงใหม่บ้านเกิด
แต่ที่เป็นไฮไลต์จริงๆ กลับอยู่ตรงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับฉากที่บินมาปักหลักฉวัดเฉวียนอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว และกัมพูชา
โดยมีสึนามิเสื้อแดง จากภาคอีสานของไทยทั้ง จ.หนองคาย อุดรธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ ฯลฯ และภาคเหนืออีกจำนวนหนึ่ง ข้ามฝั่งไปร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญและรดน้ำดำหัวสงกรานต์ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
ท่ามกลางกระแสข่าวลอบปองร้าย
มีรายงานข่าวระบุทางการ สปป.ลาว ต้องสั่งเปลี่ยนสนามบินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ร่อนลงกะทันหัน จากสนามบินวัตไตเปลี่ยนไปลงสนามบินทหารรัฐบาลลาว
ทั้งยังมีการปิดลับภารกิจ ยกเลิก เปลี่ยนเวลาที่แม้แต่คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังไม่รู้
ขณะเดียวกันฝั่งกัมพูชาของนายกฯ ฮุนเซ็น ได้สั่งระดมเจ้าหน้าที่จำนวน 5,000 นาย วางระบบการรักษาความปลอดภัยให้กับอดีตนายกฯ ของไทยอย่างเข้มงวด
แต่ก็ดูเหมือนกระแสข่าวดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบต่อความฮึกเหิมของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ตามเสียงส่งผ่านโปรแกรม สไกป์ ข้ามฝั่งจากนครเวียงจันทน์มายังสนามกีฬากลางจังหวัดหนองคาย จุดที่คนเสื้อแดงมารวมพลในงานตุ้มโฮม
พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งความหวังว่า น่าจะได้กลับเมืองไทยภายในปีนี้
แล้วก็เป็นเหมือนการส่งสัญญาณจากคำให้สัมภาษณ์แบบชัดถ้อยชัดคำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องการปรองดองในไทยว่า พร้อมปรองดองไม่มีเงื่อนไข
ส่วนที่มีคนเสนอแนะให้จับเข่าปรองดองกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีนั้น พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวตอบสั้นๆ เพียงว่า "ผมไม่ใช่คู่กรณีของท่าน"
ทั้งยังกล่าวอวยพร พล.อ.เปรม เนื่องในโอกาสวันปีใหม่ไทยว่า
"ป๋าเปรมเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรัก ตอนที่อยู่ไปกราบเคารพท่านเป็นประจำ ปีนี้ท่านอายุมากแต่ยังแข็งแรง ผมยังอิจฉา ถ้าผมอายุน้อยกว่าท่านหน่อยจะแข็งแรงเท่าท่านหรือไม่ ฝากกราบความปรารถนาดีให้ท่านสุขภาพดีต่อไป เพราะสุขภาพท่านดีมาก ทั้งสุขภาพกายและจิต เป็นการรักษาสุขภาพที่เราน่าเอาอย่าง"
ส่วนความหวังจะได้กลับเมืองไทยในปีนี้นั้น เจ้าตัวยอมรับว่ายังไม่แน่นอน
"ไม่รู้ ต้องถามหมอดู บางคนบอกจะได้กลับตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังไม่ได้กลับเลย บางคนบอกอีก 5-6 ปีโน่น บางคนก็บอกภายในปีนี้ เลยยังไม่รู้ว่าใครดูแม่น ไม่แม่น ต้องรอผลออกมาค่อยสรุปว่าใครดูแม่น"
อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์ว่า การให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในหลายเรื่อง ไม่ว่าเรื่องการปรองดองหรือการเดินทางกลับไทย
แท้ที่จริงเป็นเพียงการเลี้ยงกระแสคนเสื้อแดง ยึดกุมพื้นที่สื่อเพื่อหวังประโยชน์ต่อตัวเองบางประการเท่านั้น
เพราะในสภาพความเป็นจริงทางการเมือง ถึงจะถูกคั่นโฆษณาด้วยสึนามิและสงกรานต์
แต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาแค่สั้นๆ
เมื่อผ่านพ้นช่วงนี้ไปแล้ว
หลายคนเชื่อว่ากระแสการปรองดองที่เชื่อมต่อไปถึงประเด็นการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยกเลิกคดีของ คตส. และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จะกลับมาเข้มข้นเหมือนเดิม
สำหรับเรื่องแนวทางสร้างปรองดองที่ผ่านสภาไปแล้ว ไม่ว่าสถาบันพระปกเกล้าจะถอนรายงานผลการวิจัยหรือไม่ คงไม่มีผลในทางปฏิบัติและไม่มีผลในทางระบบสภา
แต่จุดที่สังคมจับตาคือรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรหลังได้รับผลการศึกษาปรองดองไปแล้ว
การเร่งรีบดำเนินการไม่ว่าจะในรูปแบบการออก พ.ร.บ.ปรองดอง หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตามที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในรัฐบาลระบุว่า ไม่จำเป็นต้องจัดให้มีเวทีสานเสวนาปรองดองอีกแล้วนั้น
อาจมีส่วนทำให้การเมืองร้อนขึ้น
เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งค้างการพิจารณาในวาระ 2 หลังพ้นช่วงสงกรานต์ก็ยังเป็นประเด็นต้องจับตาต่อไป โดยเฉพาะเมื่อผ่านขั้นตอนลงมติวาระ 3 ไปแล้ว
สถานการณ์อาจปะทุขึ้นอีกรอบ
เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะส่งผลดีและผลร้ายต่อฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ในความขัดแย้ง
นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าเมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ผ่านวาระ 3 ไปแล้ว จุดสนใจเริ่มแรกอยู่ที่การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.
ตามด้วยการเลือกตัวประธานและรองประธาน ส.ส.ร. ไปจนถึงการเข้าสู่ขั้นตอนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก่อนจบลงเมื่อประชาชนให้ความเห็นชอบผ่านการทำประชามติ
เบ็ดเสร็จคาดว่ารัฐธรรมนูญใหม่จะมีผลบังคับใช้ได้ภายใน ส.ค. 2556
ดังนั้น บรรยากาศการเมืองหลังจากนี้ไปอีก 1 ปี 4 เดือน จึงมีจุดกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งเป็นช่วงๆ
โดยมีความสำเร็จในเรื่องการปรองดองเป็นตัวชี้ขาดว่าความขัดแย้งนี้จะพัฒนาไปในทางใด
รุนแรงขึ้นหรือว่าเบาลง
