
แผนสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่แค่เพียงกลับบ้านจันทร์ส่องหล้า
ไม่ใช่แค่กลับมาอยู่เฉพาะเบื้องหลังรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนพ้นสมัยในอีก 3 ปีข้างหน้า
ไม่ใช่แค่กลับมามีอำนาจเหนือคณะรัฐมนตรีทั้ง 34 คน
ไม่ใช่แค่กลับมาสั่งการ ส.ส. ในพรรคเพื่อไทย ทั้ง 265 คน และพรรคร่วมรัฐบาลอีก 4 พรรค
ย่อมไม่ใช่แค่กลับมามีอำนาจ บารมีเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร
ย่อมไม่ใช่แค่กลับมามีอำนาจ คุมเชิง กำกับคลื่นใต้น้ำบรรดาผู้นำเหล่าทัพ
แต่เป้าหมายสุดท้าย ของสุดท้าย คือการใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ พ.ร.บ.ปรองดอง กฎหมายนิรโทษกรรม ที่มีผลย้อนหลัง ปลดพันธนาการแห่ง "คดี" ทั้งปวง
ย่อมหมายถึงการปลดพันธนาการแห่งคดียึดทรัพย์มูลค่า 4.6 หมื่นล้านบาท
ย่อมหมายถึงการลดดีกรีอาญาแห่งคดีซื้อที่ดินรัชดา ที่มีโทษจำคุก 2 ปี
มากกว่าความปรารถนาของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" คือการอยู่อย่างเท่ ๆ ในมวลหมู่สังคมชนชั้นอำมาตย์ และเหล่าคนชนชั้นนำในเมืองไทย ฝ่ายที่เพื่อไทยยังปักใจเรียกว่า "มือที่มองไม่เห็น"
ความปรารถนาของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะสมประสงค์ได้ ย่อมต้องใช้บันไดของคนการเมืองบ้านเลขที่ 111 และอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ทั้ง 37 คน เป็นพลังขับเคลื่อน
พลังขับเคลื่อนจะทำอย่างออกนอกหน้าได้ ก็ต่อเมื่อ คนการเมืองบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษการเมือง ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป
หรือหาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีผลออกฤทธิ์เร็ว ก็อาจทำให้คนการเมืองอีก 37 คน พ้นโทษเร็วกว่ากำหนดถึง 2 ปี ในช่วงสิ้นปี 2555
เงื่อนไขและภารกิจของคนการเมือง 111 ในเครือข่าย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ต้องกลับมาทำ อาทิ
1. ขับเคลื่อน 16 นโยบายเร่งด่วนของพรรคเพื่อไทยให้สัมฤทธิผลก่อนวันครบรอบแถลงนโยบายต่อรัฐสภาวันที่ 23 สิงหาคม 2555 ไม่เช่นนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะอาจถูกยื่นถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งได้
2. ขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในฐานะฝ่ายบริหาร ให้สัมฤทธิผลเป็นรูปธรรม ออกดอกออกผลเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประกาศใช้ได้อย่างเร็ว มิถุนายน 2556
3. ผลักดัน-ประคองกระแสสังคม ให้ยอมรับแผนปรองดอง โดยการตั้งบุคคลที่เป็นกลาง มีความน่าเชื่อถือเป็นกรรมการระดับชาติ เพื่อจัดทำแผน-มาตรการ การคืนความเป็นธรรมให้คนที่เคยได้รับโทษการเมืองจากเหตุรัฐประหาร 2549 (รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะด้วย)
4. รื้อ-ถอนและปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ผ่านคณะกรรมการชุดนายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน
5. รับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในสภาผู้แทนราษฎร ที่อาจเกิดขึ้นในราวช่วงเดือนสิงหาคม 2555
6. เปิดรับอดีตสมาชิกไทยรักไทย ในบ้าน 111 ที่ออกไปสังกัดพรรคอื่น กลับคืนพรรคเพื่อไทย เช่น การเจรจา ชักชวนให้ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนา กลับมาร่วมทีม โดยมีตำแหน่งระดับเดียวกับเลขาธิการพรรค เป็นสะพานน้ำใจ
7. เชื่อมไมตรี กับคนการเมืองที่เคยอยู่ขั้วตรงข้าม เพื่อเป็นอะไหล่การเมือง ในกรณีเกิดอุบัติเหตุการเมือง โดยให้กลุ่มของนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ นายพินิจ จารุสมบัติ กลุ่มทายาทตระกูลสุวรรณฉวี อยู่ในเวตติ้งลิสต์
ส่วนกลุ่มของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่แปรพักตร์ไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย ก็อาจคืนกลับถิ่น "วังน้ำยม" โดยการต่อสายผ่านทางลูกพี่เก่า-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์
โดยคนการเมืองบ้านเลขที่ 111 ในฝ่ายที่ยังอยู่พรรคเพื่อไทย บางคนต้องกลับเข้ารับตำแหน่งในฝ่ายบริหาร บางคนต้องประจำการที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และบางรายต้องเดินสายล็อบบี้ใต้ดินต่อไป
หากจับสัญญาณการเมืองที่ส่งจากน้องชายผู้มีอิทธิพลในพรรคเพื่อไทย อย่าง นายพายัพ ชินวัตร มักพูดกับสมาชิกพรรคตอกย้ำเสมอว่า "การปรับคณะรัฐมนตรีหลังเดือนพฤษภาคม ต้องมีคนเก่งในบ้านเลขที่ 111 เข้าไปเสริมทีม"
เช่นเดียวกับ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่พูดถึงอนาคตการเมืองของตนเองว่า "เดือนมิถุนายนนี้ มีข่าวดีแน่นอน เพราะผมคิดว่าคนบ้านเลขที่ 111 เป็นคนที่มีประโยชน์ มากประสบการณ์ และเป็นผู้ใหญ่ทางการเมือง ฉะนั้น ปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการปรองดอง คนพวกนี้เข้ามาช่วยชาติบ้านเมืองได้ ฉะนั้นมันจะเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเขาจะได้กลับเข้าสู่เวทีการเมือง"
อดีตกรรมการบริหารไทยรักไทย ในฐานะคนใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ" เปิดบัญชีรายชื่อ ผู้ที่มีแนวโน้มกลับเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แน่นอน อาทิ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ขณะนี้มีตัวแทนประจำการอยู่ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ที่ทำหน้าที่โฆษกประจำตัวนายกรัฐมนตรีเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กในการกระโดดเข้าสู่วงคณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ 3"
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งที่ผ่านมามีบทบาทในการกำหนดยุทธศาสตร์ของพรรคเชื่อมกับคนเสื้อแดง ที่แม้ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ต้องถูกจัดให้มีบทบาทในรัฐบาล ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่เคยทำหน้าที่โฆษกและที่ปรึกษาด้านกฎหมายส่วนตัวของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ในช่วงหลังรัฐประหาร ย่อมต้องได้รับการปูนบำเหน็จ
นายวราเทพ รัตนากร ที่ทำหน้าที่ผู้ช่วย-พี่เลี้ยงให้กับรัฐมนตรีทีม "ซี" เป็นเลขาฯในห้องประชุมระดับเอ็กซ์คลูซีฟทุกวง มาโดยตลอด 5 ปี คราวนี้เขาย่อมได้รับการตอบแทนน้ำใจ
นายภูมิธรรม เวชชยชัย ที่เข้าประจำการอย่างลับ ๆ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นบางครั้ง เพื่อปฏิบัติภารกิจเป็น "กุนซือ" ในกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ร่วมกับ นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็มีที่หมายในฝ่ายบริหาร
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล คนที่นักการเมืองเพื่อไทยไม่น้อยกว่า 80 คน ชุมนุมกันให้กำลังใจทุก ๆ 3 เดือน และเป็น 1 ใน 3 คน ที่สามารถโทรศัพท์สายตรงถึง "พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้ตลอดเวลา มีวาระต้องได้คืนตำแหน่งใหญ่
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนที่มี "บทบาท" แต่ไม่มี "ตำแหน่ง" ที่ต้องเข้าร่วมเป็นทีมเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อาทิ น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่เคยประกาศทั้งในที่ลับและที่แจ้งว่า ไม่ประสงค์จะรับตำแหน่งอีกแล้ว เขาบอกว่า "ตอนมาผมก็ไม่ได้อยาก จึงไม่ยากที่จะจากออกไปโดยที่ไม่ต้องมีตำแหน่ง"
เช่นเดียวกับ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่อยู่ในโผคนติดโทษการเมือง 1 ใน 37 คน ก็อาจต้องร่วมวงเดียวกับกลุ่มนายจาตุรนต์ เพื่อให้ความเห็นและชี้แนะแนวทางของรัฐบาลบ้างเป็นครั้งคราว
ครึ่งปีหลัง 2555 จึงไม่ใช่เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในรัฐบาลเพื่อไทยเท่านั้น
หากแต่ยังอาจทำให้เกิดการผันผวนทั้งกระดานการเมือง
ตามคำทำนายของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช คนใกล้ชิด "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่ว่า "เสถียรภาพของรัฐบาลยังจำเป็นในภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จะประนีประนอมอยู่ร่วมกันต่อไป"
"ดังนั้น ปัญหารัฐบาลสะเทือนเรื่อง 111 กลับมาในช่วงนี้คงไม่เกิดปัญหาแน่นอน ฟันธงได้เลยว่าการออกมาดีดดิ้น โวยวายขอมีตำแหน่งผมเชื่อว่าไม่มี เพราะทุกคนเป็นผู้ใหญ่อายุมากขึ้นกันแล้ว คงไม่มีใครเรียกร้องอะไรที่เป็นเรื่องของตัวเอง"
"ที่ดูวันนี้บทบาทด้านหน้า กับบทบาทด้านหลัง คนที่เป็น back office ก็มีเยอะแยะที่เป็นบ้านเลขที่ 111 ซึ่งเขาไม่ได้ออกหน้าออกตาก็มีเยอะแยะ คอยเป็นคลังข้อมูล เป็นผู้ประสานให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่ปรากฏชื่อ"
หากไม่มีอะไรเป็นอุบัติเหตุทางการเมือง แน่นอนที่สุดว่า "พ.ร.บ.นิรโทษกรรม" เพื่อคืนความเป็นธรรม และปลดแอกให้กับ "พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะ" ย่อมเกิดขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว
