
ท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อ่อนลง โดยเฉพาะกับคู่ขัดแย้งหลักอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยชี้ไปตรงๆ ว่าเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หรือหัวหน้ากลุ่มอำมาตย์ใหญ่ โดยอวยพรวันปีใหม่ไทยให้ “ป๋าเปรม” มีสุขภาพแข็งแรง นัยว่าไม่ใช่คู่ขัดแย้งกัน ทำให้ตัวเล่นในสนามการเมืองปรับตัวกันไม่ถูก โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงที่มอง พล.อ.เปรม เป็นศัตรูเสมอมา
นอกจากจะกล่าวถึง พล.อ.เปรม ในลักษณะเป็นมิตรแล้ว การประนีประนอมเพื่อหวังว่าจะได้รับการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม โดยอ้างความเป็นปีมหามงคล ที่เชื่อว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับบ้านเมืองหลายประการ แต่การหวังจะกลับบ้านครั้งนี้ยังคงอยู่ภายใต้การคาดเดาของหลายฝ่ายว่าจะนำไปสู่การนองเลือด หรือจะกลับมาแบบปรองดอง วิน-วิน กันทุกฝ่าย ?
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นักวิชาการกลุ่มเสื้อแดง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประเทศกัมพูชาและประเทศลาวนั้น ไม่ได้ส่อนัยเท่ากับการกระทำของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใน 3 เรื่อง ได้แก่
1. การหลีกเลี่ยงที่จะดำเนินคดีกับฝ่ายกองทัพบก ที่มีส่วนในการปราบปรามประชาชนจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 คน ในสถานการณ์ความไม่สงบเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 แต่กลับดำเนินคดีเพียงแค่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เพียงแค่ 2 คน เพื่อหวังปรองดองกับฝ่ายอำมาตย์
2. เสียงภายในรัฐบาลที่ประสานตรงกันว่าจะไม่แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ที่นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์และกลุ่มคนเสื้อแดงร่วมกันผลักดัน
3. การเพิกเฉยต่อการประกันตัวกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำในข้อหานักโทษการเมือง เพียงเพราะเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา ทั้งที่สามารถออกพระราชกฤษฎีกาประกันตัวได้ง่ายมาก แต่รัฐบาลนี้กลับไม่ทำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนชัดว่ารัฐบาลเพิกเฉยต่อเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มคนเสื้อแดงโดยสิ้นเชิง และพยายามปรองดองกับกลุ่มอำมาตย์อย่างเห็นได้ชัด
เขาย้ำว่าคนเสื้อแดงมองเห็นสัญญาณของทักษิณ และท่าทีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และทำให้คนเสื้อแดงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มมากขึ้น คือ กลุ่มที่เห็นด้วยกับการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการคืนดีกับกลุ่มอำมาตย์ แต่ทั้งหมดคงไม่ได้ขัดแย้งกันถึงขั้นแตกหักหรือไล่รัฐบาล เพราะจุดร่วมในความไม่เห็นด้วยต่อพรรคประชาธิปัตย์และศัตรูเดิมอย่างอำมาตย์บางขั้วยังคงอยู่ แต่ความสัมพันธ์นั้นไม่แนบแน่นเหมือนเดิมแน่
“พรรคเพื่อไทยยังหวังว่าหากนโยบายประชานิยมประสบความสำเร็จ ก็จะดึงให้คะแนนนิยมกลุ่มนี้กลับมา แต่หากเป็นไปในทางกลับกัน และกลุ่มคนเหล่านี้มีตัวเลือกใหม่ที่ดีกว่า และพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมกับพวกเขามากกว่านี้ เขาสามารถเปลี่ยนไปอีกพรรคได้ทันที เพราะทั้งคู่ไม่ได้แนบแน่นกันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว” สุธาชัย กล่าว
พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า สัญญาณการปรองดองระหว่าง พล.อ.เปรม กับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีมานานแล้ว ตั้งแต่การไปร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพบกครบรอบ 420 ปี ประจำปี 2555 ซึ่งยิ่งลักษณ์ ได้ไปร่วมงานด้วย จนมาถึงการตอบรับคำเชิญของ ยิ่งลักษณ์ เพื่อเป็นเกียรติในงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองเพื่อจุดกระแสปรองดอง แม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ปรากฏอยู่บ้าง แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นไปในลักษณะเพื่อนำไปสู่การแตกหัก ตรงกันข้ามกลับเป็นการสื่อเพื่อให้เกิดความปรองดองด้วย สะท้อนได้จากการใช้โอกาสเทศกาลสงกรานต์อวยพร พล.อ.เปรม ให้สุขภาพแข็งแรง และการยืนยันว่า พล.อ.เปรม ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าบรรดาเครือข่ายที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เคยออกมาโจมตี พล.อ.เปรม อย่างรุนแรงมาก่อน ดังนั้นคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณถึง พล.อ.เปรม ครั้งนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณแล้วว่าต้องการความปรองดอง และขอให้ผู้สนับสนุนตัวเองดำเนินการตามแนวทางนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้วิเคราะห์ว่าการประนีประนอมระหว่างบุคคลทั้งสองจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ยอมรับว่าการนิรโทษกรรมยังมีความเป็นไปได้ยากมาก เพราะประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่มีความขัดแย้งทางความคิดสูงมาก
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ความพยายามของ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการนิรโทษกรรม ทั้งหมดจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากความปรองดอง ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากความพยายามประนีประนอมกับกลุ่มชนชั้นนำซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ มองในด้านหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ความปรองดองอาจเกิดขึ้นในสังคมไทย แต่กระบวนการนี้ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร เพราะอย่าลืมว่ายังมีกลุ่มการเมืองอีกหลายกลุ่มไม่เห็นด้วยกับความพยายามเพื่อให้มีการนิรโทษกรรม
“ไม่แน่ใจว่าการพูดถึง พล.อ.เปรม ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาจากการที่มีการหารือเป็นการภายในกันก่อนหรือไม่ หรือเป็นการพูดโยนหินถามทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง แต่ถึงกระนั้นความชัดเจนของการปรองดองคงมองแต่ฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะต้องรอดูท่าทีจากบุคคลใกล้ชิด พล.อ.เปรม ด้วยว่าจะแสดงท่าทีออกมาในรูปไหน อย่างไรก็ตาม มีปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดใจมากที่สุด คือ ทำไมไม่มีแกนนำคนเสื้อแดงออกมาคัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีท่าทีอ่อนน้อมต่อ พล.อ.เปรม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.เปรม ถูกโจมตีจากคนเสื้อแดงมาตลอด” อรรถจักร์ กล่าว
