มติชน 26 เมษายน 2555 >>>
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ แกนนำ นปช. กล่าวถึง การไม่ได้ร่วมคณะกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในโปรแกรมดังกล่าว เพราะท่านนายกรัฐมนตรีจะนำรองนายกรัฐมนตรี 3-4 ท่าน เข้าไปรดน้ำ พล.อ.เปรม ส่วนตนเองและรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรม จะปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในวันนั้น
สำหรับการเข้าพบ พล.อ.เปรม หรือไม่ จะมีนัยยะทางการเมืองอย่างไรนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ถ้าจะตีความเป็นนัยยะทางการเมืองทุกเรื่อง มันตีความได้หมด แต่ถ้าหาก เราคิดว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันมีเหตุผล มีมิติ มีที่มา เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามอยากให้ทุกคนให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการนำพาประเทศสู่สันติภาพ
“ผมอยากจะให้ทุกคน ให้กำลังใจนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำ เป็นความพยายามที่จะ ใช้ความเป็นผู้นำประเทศ นำพาบ้านเมือง ไปสู่สันติภาพ ส่วนความขัดแย้งอื่นๆ แน่นอน ทุกคนมีการบ้านของตัวเอง แต่ว่าวันนี้เมื่อนายกฯ ตั้งใจที่จะนำพาบ้านเมืองไปในแนวทางนี้ เราก็น่าที่จะให้กำลังใจ”
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุให้ไปขอขมา พล.อ.เปรม ในโอกาสเดียวกันนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงข้อเรียกร้องดังกล่าวว่า เป็นยุทธวิธีของนายอภิสิทธิ์ ท่ามกลางสถานการณ์สับสนวุ่นวาย แบบนี้ดีไม่ดี นายอภิสิทธิ์ อาจจะขึ้นปราศรัยกับคนเสื้อแดงด้วยซ้ำไป เพราะ คนจ้องฉวยโอกาสทางการเมือง ไม่สามารถซ่อนตัวตนของตัวเองไว้ได้มิด และเห็นได้เลยว่าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอก ที่คอยจ้องฉกเหยื่อชิ้นเล็กชิ้นน้อย เอาเข้าปากตัวเองตลอดเวลา โดยไม่ได้สนใจว่าผู้คนจะมอง บทบาทนี้ของตัวเองยังไง
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นห่วงชะตากรรม เป็นห่วงผู้สูญเสียจริง ต้องไม่มีการฆ่าประชาชน ตั้งแต่ปี 2553 จะต้องไม่มีการย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าคนเสื้อแดง เป็นผู้ก่อการร้าย คนพวกนี้ เป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง จะต้องไม่มีการยื่นต่อศาลคัดค้านการจ่ายเงินเยียวยาคนเจ็บคนตาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือพรรคประชาธิปัตย์ทำทั้งหมด ขณะเดียวกัน ก็แสดงออกว่าเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึก ของผู้ประสบชะตากรรมเหล่านั้นด้วย นี่ก็สะท้อนชัดเจนว่าสิ่งที่ทำ อยู่บนพื้นฐานของความจริงใจหรืออยู่บนพื้นฐานของการเอาแต่ได้ทางการเมือง
“การเรียกร้องให้ผม ขออภัยหรือไม่ขออภัยใครนั้น ผมเรียนว่าทุกอย่างที่ทำในขบวนการต่อสู้ ผมทำด้วยสติ ไม่ได้ทำด้วยอารมณ์ และผมคิดว่า สิ่งที่ผมทำ มันก็ชัดเจนตรงไปตรงมา เราพร้อมรับผิดชอบกับทุกเหตุการณ์ หลายเรื่องที่เราทำเราถูกกล่าวหา ถูกดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม เราพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเอง ในขณะที่หลายๆ เรื่องที่เป็นประเด็นทางการเมือง เป็นความจริงในประวัติศาสตร์ ปฏิเสธไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทุกอย่างที่ผมทำไปแล้ว ก็คือสิ่งที่ผมทำไปแล้ว แล้วผมทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ที่จะแสดงออกไปเช่นนั้น”
ส่วนการตอบโดยให้นายอภิสิทธิ์ ไปขอขมา ญาติคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต 92 ศพในฐานะอะไรนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ รู้เห็นต่อการปราบปรามประชาชน ในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 แน่นอน เพราะคนเป็นนายกรัฐมนตรี จะปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น เหตุการณ์ที่คนถูกฆ่าเกือบ 100 ชีวิต กลางเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่านายอภิสิทธิ์ จะรู้แค่ไหน
“ไม่ว่าคุณอภิสิทธิ์ จะอยู่ในฐานะผู้สั่งการคนแรกหรือคนสุดท้าย คุณอภิสิทธิ์ ปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ไม่ได้ ถ้ากฎหมายทำอะไรคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้ ถ้าบ้านเมืองนี้ ทำให้คุณอภิสิทธิ์ รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ กฎแห่งกรรม กติกาของประวัติศาสตร์ ก็จะทำหน้าที่ ของมันอย่างซื่อสัตย์ ผมเชื่อเช่นนั้น ฉะนั้น ที่ผมเรียกร้อง ก็คืออยากให้คุณอภิสิทธิ์ ได้สำนึก ว่าคนเราไม่ใช่แค่เอาผลประโยชน์ทางการเมือง เข้าข้างตัวเอง แล้วจะพูดพลิกไปพลิกมา โดยไม่คำนึงถึงชะตากรรมและหัวอกของญาติผู้สูญเสีย ไม่ได้
เดือนที่แล้ว คัดค้านการจ่ายเงินเยียวยา บอกว่า รัฐบาลนี้จะเอาภาษีประชาชน ไปจ่ายให้พวกเผาบ้านเผาเมืองได้ยังไง พอมาเดือนนี้ บอกว่า คนที่ถูกฆ่าตายน่าสงสารเสียนี่กระไร จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแล จำเป็นที่จะต้องได้รับการเอาใจใส่ สิ่งเหล่านี้คุณอภิสิทธิ์ ไม่ควรทำ” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงการปรองดอง ว่า ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะต้องหันมาผู้สมัครรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่หมายถึง เราสามารถอยู่กันได้ ภายใต้ความแตกต่างในสังคมที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง เพื่อทำลายล้างกัน หรือเพื่อรักษาอำนาจกันอีกต่อไป เรายังคงไม่ยอมรับแนวทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม เรายังคงปฏิเสธอุดมการณ์ทางการเมืองอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ก็ยังเป็นเช่นนั้น การต่อสู้หักล้างทางความคิดยังคงดำรงอยู่ แต่จะต้องลดความสุ่มเสี่ยง ที่จะนำไปสู่ความรุนแรง และสูญเสีย นี่คือความหมายของการปรองดองในความคิดของตน
“ส่วนความเจ็บปวดของพี่น้อง ลืมไม่ได้ ผมเองก็เป็นคนที่เจ็บปวด จากเหตุการณ์เหล่านี้มา แน่นอนที่สุด ความเจ็บปวดของผม คงเทียบกับความเจ็บปวดของคนที่สูญเสียชีวิต พิการ หรือยังคงถูกจองจำอยู่เวลานี้ไม่ได้ แต่พี่น้องเหล่านั้น เจ็บปวดร่วมกันมากับผม เพราะฉะนั้น เรื่องที่จะลืมกัน เรื่องที่จะทอดทิ้งกัน ถ้าเรารู้จักกัน ถ้าเราเข้าใจกัน ผมคิดว่า ผมไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยในกรณีนี้” นายณัฐวุฒิ กล่าว