ภูมิธรรม เวชยชัย: ยากมาก 'ปรองดอง' แต่ต้องไม่หมดความพยายาม

โพสท์ทูเดย์ 28 เมษายน 2555 >>>




ความปรองดองมันมีปัญหา เมื่อจะให้ปรองดองทุกคนก็จะต้องลดอัตตาลดความรู้สึก ลดความต้องการลดความปรารถนา ทุกฝ่ายลงมาในจุดที่คิดว่าพอรับกันได้
นับถอยหลังอีกแค่เดือนกว่า สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะได้รับ "อิสรภาพ" กลับมาโลดแล่นบนถนนการเมืองอีกครั้ง "อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย" อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทยอดีต รมช.คมนาคม และอดีตทีมงานคู่กาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นอีกคนที่เตรียมหวนคืนสังเวียนหลังจากห่างหายไป 5 ปี
   "คุณต้องถามว่าเขาจะรับผมอยู่ไหม ผมก็คงจะตัดสินใจที่จะอยู่ทำงานกับพรรคเพื่อไทยถ้าเขายังยินดีรับเข้าทำงาน"       
"เสี่ยอ้วน" ถ่อมตัว เมื่อถูกถามว่าหลังพ้นโทษแบนจะกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยต่อไปหรือไม่ ก่อนจะขยายความต่อไปว่า สำหรับตัวเขายังรู้สึกดีกับพรรคเพื่อไทยอยู่พรรคเพื่อไทยมีพัฒนาการต่อเนื่องมาจากพรรคไทยรักไทยเขาเองเป็นคนที่มีส่วนในการทำงานก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ปรัชญาอุดมการณ์ที่พรรคไทยรักไทยมีและส่งต่อมายังพรรคเพื่อไทยก็เป็นปรัชญาอุดมการณ์ทางการเมืองที่ตัวเขานิยมชมชอบ
   "เดิมผมไม่เคยตอบคำถามนี้ แต่นี่ใกล้แล้วแค่เดือนกว่า ถ้าถาม...วันนี้ผมก็ยังมีความสนใจด้านการเมืองอยู่ และคิดว่าจะเข้าไปอยู่ในกระบวนการทางการเมือง เพราะอายุ 60 แล้วยังไม่มากไม่น้อย กำลังดี มากกว่านี้ก็ไม่มีแรงเหลือเวลาไม่เยอะ ชีวิตตัวเองทำอะไรได้ก็รีบทำยังฝันอยากเห็นสังคมนี้เป็นประชาธิปไตย เห็นความเป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่ถูก ที่ควรจะทำ หากการจะเข้าไปมีส่วนร่วมได้ก็อยากทำ"
แน่นอนว่าการที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะพ้นโทษแบนในเดือนหน้า ทำให้มีการจับจ้องไปที่การปรับ ครม. ขยับเก้าอี้ให้รัฐมนตรีแถวสองแถวสาม เปิดทางให้แถวหนึ่งกลับมาทำหน้าที่แต่ "ภูมิธรรม" ชี้แจงว่า ที่คุยกันในหมู่สมาชิก 111 ไม่มีใครคิดจะเข้าไปเป็นรัฐมนตรี อย่ามาพูดเรื่องตัวจริงตัวสำรองที่ทำอยู่ทุกวันนี้เป็นตัวจริงหมด เขาทำหน้าที่ของเขา ถามว่ามีศักยภาพไหม มี... ไม่งั้นไม่สามารถนำพาพรรคให้ประสบความสำเร็จจากชนะการเลือกตั้งมาจนถึงทุกวันนี้ได้
แต่ถามว่าทางการเมือง การร่วมไม้ร่วมมือให้เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองสามารถทำได้ในบทบาทต่างๆ อีกเยอะ ยิ่งมีกำลังมาเสริม ยิ่งได้แสดงบทบาท ทำให้นโยบายต่างๆ หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ระบอบประชาธิปไตย ก็ยังทำได้อยู่ ถ้าเข้ามาและตรงไหนที่พวกเราจะทำได้เราก็ยินดีทำอยู่แล้ว เรื่องตำแหน่งแห่งที่เป็นเรื่องหลังสุดไม่ต้องพูดถึง
   "ดูความจำเป็นของประเทศ ใครที่เหมาะสมที่จะไป ใครที่ยังไม่ใช่เวลาก็ไม่ต้องไปทำ ใครที่มีเรื่องอื่นต้องไปทำก่อนก็ไปทำก่อนถ้าเริ่มต้นอย่างนี้ไม่มีปัญหา ไม่มีความขัดแย้งอะไรสำหรับผมตำแหน่งผมไม่สนใจ นี่พูดด้วยความสัตย์จริง ถ้าผมได้ทำงานในสิ่งที่เป็นประโยชน์ผมทำได้ ผมก็ยินดี"
สำหรับเรื่อง"ปรองดอง" ที่ยังเป็นประเด็นร้อนแรงของสังคมเวลานี้ "ภูมิธรรม" อธิบายแบบตรงไปตรงมา โดยสรุปว่า "ปรองดองเป็นเรื่องที่ยากมากต้องใช้เวลา แต่ต้องไม่หมดความพยายาม"
ก่อนอธิบายต่อว่า ถ้าถามว่ายากไหม ยากมาก เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาร้าวลึกและขยายตัวกว้างขวางมาก เพราะฉะนั้นความเป็นจริงต้องใช้เวลาที่จะทำความเข้าใจ แต่ถ้าทุกคนอยากเห็นสังคมและประเทศเดินไปข้างหน้า ใช้เวลากับการพยายาม มันต้องมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ เร็วช้าขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายๆอย่าง ต้องไม่หมดความพยายาม
   "ทุกฝ่ายต้องเริ่มหันกลับมามองถึงเป้าหมายของการอยากให้เกิดการปรองดอง ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็จะถอนตัวตน ถอนความรู้สึก เพราะความปรองดองมันมีปัญหา เมื่อจะให้ปรองดองทุกคนก็จะต้องลดอัตตา ลดความรู้สึก ลดความต้องการ ลดความปรารถนา ทุกฝ่ายลงมาในจุดที่คิดว่าพอรับกันได้"
"ภูมิธรรม" มองเงื่อนไขปรองดองที่ยังวนเวียนอยู่ที่ "ทักษิณ" เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการให้ดำเนินคดี อีกฝ่ายไม่ต้องการให้ดำเนินคดี ว่าการเถียงกันวันนี้เหมือนพูดกันคนละเรื่องส่วนหนึ่งคงต้องการให้นายกฯ ทักษิณ กลับ แต่หัวใจของเรื่องปรองดองคือ อยากให้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วก็ค่อยมาดูกันตามกระบวนการที่เป็นจริง
   "ผมไม่ได้ยินว่าให้ทักษิณกลับทุกอย่างจบเขาบอกว่าทุกอย่างที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมต้องถอยกลับไป ถ้าคุณคิดว่าอันไหนมีปัญหา คุณก็ไปเริ่มตามกระบวนการยุติธรรมที่เป็นจริง สากลยอมรับ ถ้าคุณกลับไปสู่กระบวนการ แล้วก็ว่าไปตามกระบวนการที่มีอยู่ ผมว่าก็โอเค"
ภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้าเราพูดในเงื่อนไขของความขัดแย้งที่มันเกิดขึ้น คิดว่ามันต้องเริ่มจากตรงนี้แหละ คือ พูดแบบคนทั่วไปทั้งหมดที่ควรจะคิด ถามคนส่วนใหญ่ว่า คนส่วนใหญ่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่เป็นอยู่ขนาดไหน ถ้ายอมรับกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ก็ต้องถามว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีความผิดเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติไหม ถ้าไม่เป็นจะทำไงให้เข้าสู่กระบวนปกติ
   "ถามผมวันนี้ผมก็ยังบอกว่า วันนี้ผมติดคุก 5 ปี ทางการเมืองไม่ปกติ ถามว่าคุณมาตัดสิทธิการเมืองผมนี่คุณทำได้ไหม ไม่ได้ คุณตัดสิทธิพลเมืองผม โลกทั้งโลกไม่มีใครยอมรับ คุณทำได้ไง แต่ทนนิ่งมา 5 ปี ไม่เคยเรียกร้อง เพราะเราไม่ต้องการเพิ่มเงื่อนไขผมทนอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่อัปลักษณ์ของพวกคุณที่มีอำนาจทำออกมา
ไม่มีโลกนี้ที่ไหนทำกัน ผมคุยกับเพื่อนต่างประเทศเขาบอกว่าบ้าไปแล้วประเทศนี้ สิทธิพลเมืองที่ไหนเขาตัดสิทธิกัน คุณให้ผมเสียภาษี ทำหน้าที่พลเมืองทุกอย่างเสร็จแล้วบอกว่าตัดสิทธิ ทำไม่ได้"
บรรยากาศปัจจุบันการสร้างความปรองดอง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลายเป็นการเพิ่มความขัดแย้ง แต่ "ภูมิธรรม" กลับมองว่า "อย่ากลัวความขัดแย้ง" เพราะในหลักวิทยาศาสตร์สังคม วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ บอกว่าความขัดแย้งทำให้ก้าวหน้าพัฒนา สิ่งที่ไม่เหมือนกันมาชนกันมันเกิดสิ่งใหม่ ดังนั้นอย่าไปกลัวความขัดแย้ง แค่จัดการกับความขัดแย้งให้เหมาะสม ใช้สติเหตุผลหลักการมาตรฐานที่คนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับได้
ภูมิธรรม ยอมรับว่าในฐานะที่มีทั้งเพื่อนเหลืองเพื่อนแดง ก็เคยมีความพยายามนั่งคุยเพื่อร่วมกันหาทางออกแต่ก็ไม่ง่าย เพื่อนบางส่วนก็คุยกันได้บางส่วนก็ไม่คุยกันเลย บางส่วนนี่ความเป็นแดงเป็นเหลืองนี่ตัดขาดกันไปเลย ไม่พร้อมจะคุยกัน สังคมที่เป็นจริงเป็นอย่างนั้น แม้เพื่อนสมัย14 ตุลา บางส่วนก็ไม่ได้คุยกันเลย
   "แต่ต้องมีความหวัง สังคมไทยมีความขัดแย้ง ที่ผ่านมาถูกปล่อยให้ขัดแย้งร้าวลึก ยกระดับจนใช้ความเชื่อคุยกันมากกว่าเหตุผล ถ้าใช้ความเชื่อนี่ไม่ต้องคุยกันถ้าอยากให้สังคมเดินไปข้างหน้า ต้องคุยหลักการที่เป็นรูปธรรม ว่าเอาด้วยกับหลักการไหม จากนั้นก็มาดูว่าหลักการนี้สูญเสียอะไร ได้อะไร ก็จะทำให้ง่ายขึ้น แต่ต้องอดทนที่จะคุยกัน"

จุดแข็งในมุมกลับ รัฐบาลยิ่งลักษณ์

แม้จะถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนการเมือง แต่ 5 ปีที่ผ่านมา ชื่อ "ภูมิธรรม" ยังแว่วมาให้ได้ยินต่อเนื่องกับการเข้าไปข้องแวะอยู่เบื้องหลังหรือประจำการ "วอร์รูม" เพื่อไทยแต่เจ้าตัวยืนยันว่าเป็นการพูดเกินความจริงไปเยอะ
   "ตั้งแต่ถูกตัดสิทธิการเมือง ผมเข้าไปมีส่วนน้อยมาก ชีวิตส่วนใหญ่ 5 ปีกว่า ตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549 ไม่ได้ไปยุ่งเท่าไหร่ยกเว้นบางช่วงบางตอนที่เข้าไปทำงาน แต่ไม่เคยเข้าพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน เคยมีโอกาสเข้าเพื่อไทยตอนหลังบ้างไปเยี่ยมเยียนเพื่อนบ้างเพราะใกล้แล้ว กลัวไปไม่ถูก เข้าไปบ้างแต่ไม่ได้เข้าไปทำอะไรอย่างที่ว่า ผมก็ไม่เห็นด้วยกับคำว่าอะไหล่สำรอง แถวสอง แถวสามแถวสี่ เขาก็มีศักยภาพของเขา แต่ด้วยประสบการณ์การเมืองคนอาจจะไม่เท่ากันก็ธรรมดา แต่จนถึงวันนี้ก็เป็นศักยภาพของพวกเขาที่ทำให้พรรคเติบโต ชนะเลือกตั้ง"
ภูมิธรรม บอกว่า จะช่วยอะไรมากก็ไม่ได้ ผมยังอยู่คุก 111 ซึ่งขังได้แต่ร่างกาย แต่ความคิดขังไม่ได้ แม้เราจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่ยังมีความห่วงใยบ้านเมือง อะไรที่ทำให้บ้านเมืองเดินไปได้เราก็ยินดีทำ ก็ได้ไปช่วยแสดงความคิดเห็นช่วยบ้างคือเรื่องนโยบายการบริหารประเทศการหาเสียงเลือกตั้ง ก็มีส่วนออกความคิดเห็น ถ้ามีคนมาสอบถามได้เสนอความคิดเห็น
ภูมิธรรม ประเมินการทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่ารัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ขึ้นมาด้วยบรรยากาศมีคนส่วนหนึ่งไม่สบายใจ ไม่เชื่อถือวิพากษ์วิจารณ์ดูถูกดูแคลน แต่มีคนส่วนหนึ่งให้ความมั่นใจ ไม่งั้นไม่ได้เสียงข้างมาก 8-9 เดือน หลายคนซึ่งการที่ถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนคือการไม่รู้การเมือง พูดไม่เก่งทำงานการเมืองไม่ได้ แต่ทั้งหมดกลายเป็นจุดแข็งในปัจจุบันเพราะการที่ท่านไม่ได้สนใจใช้โวหารทางการเมือง ตั้งใจทำงานกลายเป็นจุดแข็ง เป็นคุณสมบัติที่เหมาะสมในสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้ง
   "ถ้าใส่ใจจะอธิบายเหตุผลความเชื่อตัวเองก็คงไม่สามารถมาได้ถึงทุกวันนี้ ท่านรับฟังความเห็นคนและใส่ใจการทำงานตรงนี้เป็นจุดแข็งของท่าน เป็นคุณสมบัติให้การแก้ปัญหาระยะยาว ให้ความขัดแย้งได้คลี่คลาย จุดแข็งอีกอย่างคือความมุ่งมั่นผลโพลหลายสำนักก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามและการร่วมมือกันหลายๆ ฝ่ายซึ่งเคยเป็นคู่ขัดแย้ง ก็คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อย่างกองทัพเริ่มจากจุดเริ่มต้นที่ไม่เข้าใจ ก็คลี่คลาย ทุกฝ่ายยอมรับ"
ทว่า เสียงสะท้อนบางส่วนจะกลายเป็นว่าไม่รู้ ไม่พูด พูดผิด กำลังกลายเป็นจุดอ่อนที่กัดกร่อนภาวะผู้นำของ "ยิ่งลักษณ์" แต่ "ภูมิธรรม" มองว่าดูเสียงสะท้อนของประชาชนท่านไม่มีอัตตา หลายเรื่องที่บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ และคิดว่าการที่จะมุ่งมั่นทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
ทั้งนี้ การที่อยู่ในสังคมขัดแย้งรุนแรง และเป็นผู้นำที่มีความสัมพันธ์กับคู่ขัดแย้งส่วนหนึ่งในสังคมก็ต้องเกิดปัญหา แต่เวลาจะเป็นเครื่องช่วยผลงานจะเป็นเครื่องช่วยถ้ามุ่งมั่นให้งานออกมา สังคมก็จะตอบเองว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ แต่การยังยืนยันเดินหน้าแก้ปัญหาให้ดีขึ้นเรื่อยๆผลโพลที่ออกมาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

บุรุษเบื้องหลัง 'กองทุนสตรี'

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก่อตัวตั้งแต่ "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี" ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่ว่าจะเป็นข้อครหาเรื่องเน้นสร้างฐานเสียงผ่านเม็ด เงินที่กระจายลงในพื้นที่ แถมมีกลไกคัดกรองด้วยระบบสมาชิก ยังไม่รวมกับการกระตุ้นการสร้างหนี้ของรากหญ้า
"ภูมิธรรม" ชายผู้ที่มีส่วนร่วมอยู่เบื้องหลังการตั้งไข่ของกองทุนนี้ ยืนยันว่า วัตถุประสงค์การจัดตั้งกองทุนฯ เป็นเรื่องดีในการจัดสรรเงินไปให้สตรีในระดับหมู่บ้าน ระดับจังหวัด เพราะสตรีเป็นประชากรที่มีมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศหรือของโลก และเป็นคนที่ถูกเรียกว่าคนหลังบ้าน ซึ่งมีส่วนช่วยแก้ปัญหาและกำหนดชะตาชีวิตของครอบครัว
ส่วนที่มีข้อโต้แย้งบ้าง คนที่โต้แย้งอาจมีความเข้าใจน้อย ยกตัวอย่างกรณีที่ระบุว่า อยากให้เงินส่วนใหญ่ไปอยู่ที่การพัฒนาศักยภาพนั้นบางคนอาจมองแบบยึดติดในรูปแบบเกินไป ถ้าไปดูกลไกการจัดสรรเงิน แบ่งเป็นเงินทุนหมุนเวียน 80% เงินพัฒนาศักยภาพ 20% แต่ที่จริงเป็นเงินพัฒนาศักยภาพสตรีทั้งหมด
ทั้งนี้ อย่ามองแค่การพัฒนาศักยภาพคือการฝึกอบรม ถ้ามองเห็นการพัฒนาศักยภาพเป็นเรื่องของวีถีชีวิตทุกอย่างเป็นการพัฒนาศักยภาพเป็นการเรียนรู้ปัญหาของเขาเอง การสร้างรายได้อาชีพให้คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเรียนรู้
บริหารกองทุนฯ ร่วมกัน ดูทรัพยากรร่วมกันจัดสรรเอาไปใช้กับปัญหาชีวิตประจำวัน ถ้ามองอย่างนี้ก็เป็นการพัฒนาศักยภาพทั้งหมด
   "ถ้าคุณมองประชาชนเป็นฐานการเมือง ผมคิดว่ามองแคบเกินไป ระบบต้องทำให้คุณรองรับประชาชนทั้งประเทศอยู่แล้ว ส่วนประชาชนส่วนใหญ่จะพึงพอใจและมาเป็นฐานการเมืองให้คุณ ก็เป็นผลพลอยได้ อย่าไปคิดมาก"
ภูมิธรรม ชี้แจงว่า เม็ดเงินในโครงการนี้เฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท รวม 7,700 ล้านบาททั่วประเทศไม่ได้มาก ถ้าดูโครงการไทยเข้มแข็งใช้เงินหมื่นล้านก็ไปทั่วประเทศเหมือนกัน เรื่องนี้ไม่ใช่นายกฯคิดอยากจะทำก็ทำ แต่
ผ่านกระบวนการเสนอเป็นนโยบายต่อสาธารณะหาเสียงมาทุกจังหวัดทั่วประเทศ และได้รับการตอบรับจากประชาชน รวมทั้งยังได้บรรจุวาระเร่งด่วน มันก็เป็นไปตามกระบวนการในระบอบประชาธิปไตย ตามที่เขาได้หาเสียง
นอกจากนี้ เท่าที่รับฟัง รับทราบ ไม่ใช่คิดแล้วไปทำ แต่ผ่านการการรับฟังความคิดเห็น ก่อนจะออกเป็นนโยบายได้ คุยกับองค์กร เอกชน นักวิชาการหลายส่วน ทั้งกลุ่มที่ทำงานด้านสตรีกลุ่มของปวีณา หงสกุล จะเด็ด เชาว์วิไลผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ฯลฯ มีการพูดคุยรับฟังความคิดเห็น
ภูมิธรรม ชี้แจงอีกว่า ปัญหาความเข้าใจผิดอีกประการ คือเรื่องสมาชิกถึงจะมีส่วนการเข้าถึงเงินนั้น ถือเป็นการเข้าใจผิดในสาระสำคัญอย่างยิ่ง กองทุนสตรีไม่ใช่จะให้บริการเฉพาะสมาชิก แต่ให้บริการสตรีไทยทั้งหมดทั่วประเทศแต่กระบวนการสมัครสมาชิกเป็นการกำหนดคุณสมบัติเพื่อนำมาซึ่งการคัดเลือกกรรมการที่จะเข้ามาบริหารและในกระบวนการตรวจสอบการดำเนินการ เมื่อสมัครเข้ามาก็เป็นกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล แต่ทุกคนมีสิทธิได้ประโยชน์ทั้งหมด
   "สำหรับสมาชิกเดิมตอนแรกเข้าใจผิดเพราะผู้ปฏิบัติมีคนเสนอว่าต้องการให้จัดการให้ทันวันที่ 8 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสตรีสากล แต่เมื่อไม่ทันเขาก็ขยายไปไม่มีปัญหา ตอนนี้มีสมาชิก 5.9 ล้านคน เทียบกับกองทุนหมู่บ้านเริ่มต้นมี 2 ล้านคน วันนี้ขยายไปเรื่อย"
ส่วนที่มีการโจมตีกันว่าจะเป็นการซ้ำรอย "กองทุนหมู่บ้าน" ที่ล้มเหลว นั้น "ภูมิธรรม" อธิบายว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิดมากคุณต้องไปดูงานวิจัยทีดีอาร์ไอ เวิลด์แบงก์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่ากองทุนหมู่บ้านประสบความสำเร็จ 90% มีปัญหาไม่ถึง 10% เงินกองทุนหมู่บ้าน 8 หมื่นล้านบาทตอนนี้มีเงินอยู่ 1.6 แสนล้านบาท เป็นผลพอกพูนจากการลงไปดำเนินการของประชาชน
   "ก่อนหน้านี้ มีโครงการธนาคารประชาชนให้ประชาชนรับประกันกันเอง คนจนไม่มีหลักทรัพย์ เขาไปค้ำกันเอง ไม่มีหนี้เสีย สำเร็จไป90% เขาไม่ทิ้งโอกาส เพราะเขาจ่ายดอกเบี้ยแขก 40-50% วันนี้มาเสียดอกเบี้ยต่ำและดูแลกันเอง อันนี้ประสบความสำเร็จ คนจนไม่มีปัญหาเรื่องโกงเสียหายมีบ้างไหม มนุษย์ธรรมดาเราเองเรายังใช้เงินนอกงบประมาณก็มีเพราะฉะนั้นที่มากล่าวหา ผมคิดว่าอาจจะเข้าใจข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อน"
   "คุณต้องไปคิดถึงคนที่เขายากลำบากและเขาไม่มีปัญญาจะไปมีหนี้แบบที่คุณจะไปทำเพราะเขาไม่มีหนทางทำมาหากิน อย่าไปมองแค่ว่าเป็นกิจกรรมที่จะไปส่งเสริมหนี้ แต่คือกิจกรรมที่ทำให้คนมาดูแลกิจกรรมสินทรัพย์ร่วมกันไปสร้างโอกาส นี่คือการพัฒนาศักยภาพเวย์ออฟไลฟ์ วิถีชีวิต ประชาธิปไตยที่เป็นวิถีชีวิต"
ทั้งนี้ ในส่วนของพัฒนาศักยภาพอีก 20% ให้เอ็นจีโอ องค์กรที่อยู่ในพื้นที่ได้กู้ไปทำเรื่องปัญหาสตรี การส่งเสริมศักยภาพสตรี การพัฒนาผู้นำ ถามว่าเยอะหรือ 20 ล้านบาท 77 จังหวัด 1,540 ล้านบาททั่วประเทศ ใช้หมด ก็จัดสรรงบให้ใหม่ทุกปี ใช้ไม่หมด ใช้เท่าไหร่ก็เพิ่มเข้าไป สมเหตุสมผลที่สุด ถ้าใจท่านกว้างและมาดู ท่านจะเห็นว่าการทำอันนี้เป็นสิ่งที่จะช่วยพัฒนาสตรี และจะเห็นว่าไม่เคยมี
ภูมิธรรม มองว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ทำสำเร็จมากน้อยก็เป็นเรื่องของอนาคตแต่อย่างน้อยคุณกล้าริเริ่มเรื่องนี้ทำให้มหาวิทยาลัยวิสคอนซินสหรัฐมหาวิทยาลัยอีฮวา เกาหลี เชิญไปพูดเพราะเป็นประเทศแรกๆ ที่เสนอสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นอย่างน้อยคุณกำลังเสนอทางออก ทางเลือกให้กับสังคม กำลังเป็นต้นแบบให้สังคมทำ ต้องมองด้านดีสิ่งนี้เริ่มจากตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์เองซึ่งผลักดันออกมา
   "คุณต้องไปคิดถึงคนที่เขายากลำบากและเขาไม่มีปัญญาจะไปมีหนี้แบบที่คุณจะไปทำเพราะเขาไม่มีหนทางทำมาหากิน อย่าไปมองแค่ว่าเป็นกิจกรรมที่จะไปส่งเสริมหนี้ แต่คือกิจกรรมที่ทำให้คนมาดูแลกิจกรรมสินทรัพย์ร่วมกันไปสร้างโอกาสนี่คือการพัฒนาศักยภาพเวย์ออฟไลฟ์ วิถีชีวิตประชาธิปไตยที่เป็นวิถีชีวิต"