ถกรายงานปรองดอง 7 ชม.เดือด ฝ่ายค้าน งงบรรจุลำดับต้นได้อย่างไร 'เจริญ' ปัดไม่ทราบ โยนเป็นอำนาจประธานสภาฯ "สนธิ" ยันทำหน้าที่เสร็จแล้ว
เมื่อเวลา 17.30 น. วานนี้ (4) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้เริ่มพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) โดยก่อนเริ่มพิจารณา นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้สอบถามถึงกติกา และหลักเกณฑ์การเรียงลำดับวาระการประชุม เนื่องจากพบว่า วาระรายงานปรองดองอยู่ในลำดับท่ 4.2 ซึ่งถือว่าบรรจุในลำดับก่อนหน้าเรื่องอื่นที่พิจารณาแล้วเสร็จไปนานแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ชี้แจงว่า การบรรจุวาระการประชุม เป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ ทั้งนี้การเรียงลำดับนั้นเป็นอำนาจของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ทำให้ นพ.สุกิจ กล่าวว่า แสดงว่าไม่ได้มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนกับการเรียงลำดับวาระประชุมใดๆ ซึ่งประเด็นนี้คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลหรือบางคนได้รับประโยชน์ เรื่องถึงได้นำมาบรรจุในระดับต้น
หลังจากที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ ฐานะประธาน กมธ.ปรองดอง กล่าวรายงานต่อที่ประชุม โดยย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องรีบยุติความขัดแย้งในปัจจุบัน เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และความมั่นคงของประเทศแล้วเสร็จ นายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ขอหารือที่ประชุมโดยได้นำแถลงการณ์ของสถาบันพระปกเกล้าที่ย้ำวิธีการสร้างความปรองดองด้วยการเสวนาหาทางออกร่วมกัน มาอ่านในที่ประชุม พร้อมอภิปรายว่า ตนแปลกใจว่าทำไมประธานกมธ.ปรองดองไม่นำประเด็นนี้มาพิจารณา เบื้องต้นตนอยากให้ประธานกมธ.ปรองดอง รับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาเพื่อทำให้เกิดความสมานฉันท์และทางออกร่วมกัน
ด้านนายชวลิต วิทยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะ กมธ.ปรองดอง ชี้แจง ว่าในแถลงการณ์ของสถาบันพระปกเกล้าตนดีใจที่ทางสถาบันได้ตรวจสอบเนื้อหาของงานวิจัย ภายหลังจากที่มีคนทักท้วง ติติง และเมื่อลงไปตรวจสอบกระบวนการวิจัย และเนื้อหาแล้ว พบว่ากระบวนการศึกษาวิจัยถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งตนขอย้ำว่ากระบวนการวิจัยนั้นถูกต้องตามวิชาการ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่าในข้อเสนอของคณะผู้วิจัยสถาบันพระปกเกล้า ที่ระบุว่าปัจจุบันบรรยากาศปรองดองไม่เกิด เพราะทุกฝ่ายยังมีท่าทีเหมือนเดิม คณะผู้วิจัยจึงอยากสร้างความปรองดองระดับการเมืองและประชาชน ด้วยการพูดคุยหาทางออกร่วมกน ทั้งนี้ผลการวิจัยไม่ใช้ข้อสรุปที่นำไปปฏิบัติได้ทันทีนั้น สิ่งที่นำมาอ้างอิงเสมือนเป็นข้อเสนอที่ลงมติวันนี้ไม่ตรงกันสิ่งที่วิจัยได้ยืนยัน คือ ที่มาของแถลงการณ์ขอสถาบันพระปกเกล้า หากทำตามสิ่งที่สถาบันเสนอ ทางกมธ.ปรองดอง รวมถึงสมาชิกสภาฯ ควรจะรับทราบรายงานของกมธ.ไว้ชั้นหนึ่งก่อน และขยายอายุของกมธ.ปรองดอง ไปจนสิ้นสมัยประชุมสามัญทั่วไป และระหว่างนั้นควรจัดเวทีสัมมนาหาทางออกร่วมกัน
“ผมขอท้วง ว่าให้อ่านให้ครบ เพราะผมอยู่ที่ประชุมของกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าด้วย ผมขอถามประธาน กมธ.ปรองดอง ว่าสรุปที่ขอให้พิจารณาวันนี้ จะดำเนินการตามข้อเสนอของคณะผู้วิจัยและสถาบันพระปกเกล้าหรือไม่ ที่ระบุว่าจะขอให้สภาฯรับทราบชั้นหนึ่งก่อน และจะนำไปดำเนินการตามข้อเสนอ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
พล.อ.สนธิ ชี้แจงว่าการรายงานของกมธ.ปรองดองแล้วเสร็จ จึงนำเรื่องสู่สภาฯ ถือว่าหน้าที่ของกรรมาธิการฯ จบแล้ว ภาระกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนใครจทำอะไรต่อไป เป็นหน้าที่ของสภาฯ
"อภิสิทธิ์" ยกข้อบังคับ 96 วรรคสอง กดดันให้แก้ไขรายงานปรองดอง
ต่อจากนั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงข้อเสนอของ กมธ.ปรองดอง ว่าตนได้อ่านหลายรอบ ไม่พบข้อเสนอของ กมธ.ปรองดอง ขัดหรือแย้งต่อรายงานการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า ทั้งนี้ยังได้ระบุความเห็นว่าเห็นด้วยกับรายงานแนวทางการสร้างบรรยากาศปรองดองของสถาบันพระปกเกล้า ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมได้เรียกร้องหน่วยงานที่เห็นด้วย ให้นำแนวทางปรองดองไปปฏิบัติโดยเร็ว อย่างไรก็ตามในประเด็นที่หลายฝ่ายกังวลในการนำรายงานไปต่อยอด เชื่อว่าหากไม่ผ่านกระบวนการในสภาฯ แล้วคงไม่สามารถทำได้ หรือหากจะทำในประเด็นใดนั้น ต้องกำหนดเป็นมติของสภา
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงย้ำว่าในประเด็นที่ระบุว่า เรียกร้องให้หน่วยงานที่เห็นด้วยกับข้อเสนอ กมธ.ปรองดอง นำแนวทางไปดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด ถือว่าสร้างความกังวลต่อคณะผู้วิจัยอย่างยิ่ง เพราะในบทที่ 5 ผลการศึกษาของกรรมาธิการนั้น ได้ระบุชัดเจนว่า ว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ว่าออกกฎหมายนิรโทษกรรม และลบล้างความผิดทางกฎหมายของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ทั้งที่ในงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าไม่ได้ระบุเช่นนั้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่าตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อ 96 วรรคสอง ระบุให้ที่ประชุมสภาฯ แก้ไขเพิ่มเติมผลการพิจารณาของ กมธ. ได้ ดังนั้นประเด็นนี้ กมธ.ปรองดอง จะพิจารณาแก้ไขเพื่อให้เกิดความสบายใจของสังคมและสถาบันพระปกเกล้าหรือไม่
“วัฒนา” ค้านเสวนาปรองดองก่อนเยียวยา
นายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะรองประธาน กมธ.ปรองดอง ชี้แจงว่า สิ่งที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตในประเด็นผลการศึกษาของ กมธ.ปรองดอง นั้น ตนขอถามว่ามีสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามจากการรับฟังองค์กรภาคธุรกิจ และหน่วยความมั่นคง ยอมรับว่าสิ่งที่จะลดความขัดแย้งได้ คือ การให้อภัย ทั้งนี้ความเห็นของสถาบันพระปกเกล้า ที่ระบุเรื่องการนิรโทษกรรม การยกเลิกผลทางกฎหมายของ คตส. ไม่ใช้นวัตกรรมใหม่ และถูกจดลิขสิทธิ์ จนไม่มีใครนำไปปฏิบัติได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้เกิดมาตั้งแต่ปี 2475 แล้ว อีกทั้งข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าได้ออกมาภายหลังจากที่กมธ.ปรองดองนำเสนอ
นายวัฒนา กล่าวต่อว่า ข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าที่ระบุให้มีการสานเสวนา ตนมองว่าเป็นข้อเสนอที่ข้ามขั้นตอน เพราะส่วนตัวมองว่าการสร้างความปรองดองได้ ประเด็นแรกต้องดำเนินคดีอาญากับผู้ที่มีส่วนทำความรุนแรงในปี 53-55 ต่อด้วยการเยียวยา คืนความถูกต้องและชอบธรรมที่จะนำไปสู่กระบวนการเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายพูดคุยทางทางออกร่วมกัน แต่ต้องไม่เกิดขึ้นก่อนการเยียวยา หรือคืนความถูกต้อง
“ผมมองว่าความปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากปล่อยผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ยังดำรงความไม่เป็นธรรมนั้นอยู่ และประเด็นนี้ต้องทำโดยทันที เพราะความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม ที่มาเสนอให้เลื่อน อย่าเพิ่งทำ อย่าเพิ่งคืนความถูกต้อง ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย เพราะความสำคัญสูงสุดคือการเคารพหลักสิทธิมนุษยชน คิดว่ากระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยา โดยเฉพาะเรื่องของการนิรโทษกรรม และคืนความชอบธรรมเพื่อให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับเช่น ป.ป.ช. ต้องรีบทำโดยเร็ว เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยของสภาฯ ที่จะทำได้ ” นายวัฒนากล่าว
นายวัฒนา กล่าวด้วยว่า การสานเสวนาได้ ต้องเกิดขึ้นในระดับคู่กรณีที่มีความขัดแย้ง ซึ่งตรงกับข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) อาทิ การอำนวยความยุติธรรม ด้วยความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไม่เลือกปฏิบัติ ดังนั้นการดำเนินคดีกับคนบางคนที่คุณก้าวข้ามไม่พ้น ที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้นถูกต้องแล้วหรือ ซึ่งตนไม่ได้เรียกร้องให้ล้างผิดกับใคร แค่ขอให้ดำเนินให้ถูกต้องเท่านั้น
ส.ส.ปชป. โวย “วัฒนา” ใช้เวที กมธ.ปรองดอง ฟอกผิดคดี คตส.
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ได้เริ่มดุเดือดขึ้น โดยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อดีตกมธ.อภิปรายยืนยันว่า รายงานของคณะกรรมการอิสระค้นหาความจริงแห่งชาติ (คอป.) ได้ระบุชัดแล้วว่าหากจะเริ่มการปรองดองต้องเริ่มจากการค้นหาความจริงก่อน ซึ่งการหาความจริงนั่นก็เพื่อให้สังคมยอมรับข้อเท็จจริง และยอมรับผิด ก่อนจะนำไปสู่กระบวนการนิรโทษกรรม ไม่มีการปรองดองไหนที่เกิดจากการให้อภัยเลยโดยขาดการค้นหาความจริง การนิรโทษกรรมคือการทำให้สิ่งที่ผิดไม่มีความผิด ดังนั้นก่อนจะถึงปลายทางนั้น ต้องมีการทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ความยุติธรรมไม่เกี่ยวกับเสียงข้างมาก คนจำนวนมากถ้าทำผิดกฏหมายก็ไม่อาจล้มล้างความผิดนั้นได้ เช่น นายกฯคนหนึ่งได้รับเลือกตั้งมา 20 ล้านเสียง หากมีการทำทุจริตผู้ที่จะพิจารณาคือผู้พิพากษาตามกระบวนการยุติธรรมของรัฐไทย ซึ่งมีอยู่ 2-3 คนเท่านั้น จะอ้างว่ามาจากคน 20 ล้านเสียงไม่ได้
ต่อจากนั้น เมื่อเวลา 20.45 น. กาประชุมได้สะดุดลง เนื่องจากมีการประท้วงกันไปมาระหว่าง ส.ส.ประชาธิปัตย์ และกรรมาธิการปรองดอง รวมถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยฝ่ายค้าน นำโดย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ประท้วงนายสมศักดิ์ ที่ไม่เรียกให้ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อภิปราย และอนุญาตให้เฉพาะ กรรมาธิการฯปรองดองชี้แจงฝ่ายเดียว
นอกจากนั้นแล้วยังมีการประท้วงระหว่างนายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ และนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะรองประธานกมธ.ปรองดอง โดยในช่วงการชี้แจง นายวัฒนา ระบุไม่ยอมรับการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่สร้างความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพราะเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาและใช้อำนาจซ้อนอำนาจของกระบวนการยุติธรรม โดยคดีที่ผ่านการไต่สวนจำเป็นที่ต้องนำกลับมาทบทวนให้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการยอมรับ
ทำให้นายเจะอามิง ประท้วงว่าขอให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ควบคุมการประชุมให้เป็นไปตามข้อบังคับ ในประเด็นที่นายวัฒนาชี้แจงมีลักษณะที่นอกเรื่อง รวมถึงเป็นการใช้เวทีเพื่อฟอกตัวเอง เนื่องจากมีผลประโยชน์ทับซ้อนในคดี เนื่องจากนายวัฒนาถูก คตส. ตรวจสอบในคดีรับเสินบนบ้านเอื้ออาทร และอนุมัติโครงการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทร
โดยนายสมศักดิ์ วินิจฉัยประเด็นนี้ว่า “ผมให้ท่านวัฒนาพูดในฐานะเป็นกรรมาธิการ ไม่เกี่ยวกับคดีของ คตส.”
"ภูมิใจไทย" เชื่อปรองดองไม่ง่าย
เมื่อเวลา 21.40 น.นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า การสร้างความปรองดองเพียงแค่คำพูดนั้นไม่พอ เท่าที่ดูการอภิปรายวันนี้บรรยากาศการปรองดองคงไม่ง่าย จนถึงเวลานี้คนที่เห็นต่างกันยังไม่ยอมลดหรือถอยให้กันเลย วันนี้ความเป็นจริงยังมีการสร้างหมู่บ้านสีอะไรต่างๆ อยู่ หรือมีการใช้มวลชนให้ห็นว่าตัวเองอยู่เหนือกฎหมายอยู่ วันนี้กลไกของกฎหมายมันบิดเบี้ยวจริง แล้วจะทำอย่างไรให้หลักนิติธรรมมองตรงกันเป็นหลักเดียวกัน วันนี้ใครที่เป็นคู่ขัดแย้งกัน คือนักการเมืองที่ขัดแย้งกับนักการเมืองเพราะช่วงชิงอำนาจกัน
ถ้าวันนี้ลดราวาศอกกัน ยอมถอยมาอยู่ในจุดที่อยู่ร่วมกันได้เราก็จะปรองดองกันได้ ส่วนเรื่องคตส.นั้นพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เอาเรื่องตัวบุคคลเป็นตัวตั้ง แต่เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองที่เป็นประชาธิปไตย แม้ว่าสิ่งที่คตส.ทำจะถูกต้องตามกฎหมายแต่ไม่ใช่นิติธรรม ดังนั้นเมื่อมีโอกาสที่เราจะทำให้ถูกต้องได้แล้วทำไมเราไม่ทำให้ถูกต้องอย่างที่มันควรจะเป็น วันนี้ถ้าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านยังก้าวไม่พ้นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านก็จะยังติดอยู่ตรงนี้ และจะกลายเป็นเงื่อนไขของความรุนแรง สู้บริหารประเทศในวันนี้ให้ดีก่อนจะดีกว่า
สภาฯเดือด “จ่าเสื้อแดง” สวน “พิเชษฐ์” ไอ้แก่ตัณหากลับ
เมื่อเวลา 22.45 น. นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นอภิปรายโดยใช้ถ้อยคำเสียดสี ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายในหลายช่วง อาทิ “ไอ้สัตว์นรกตัวหนึ่ง” ซึ่งเนื้อหาได้เชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง การเผาศาลากลาง การนำเลือดคนผสมเลือดสัตว์ ไปเทที่หน้าพรรคประชาธิปัตย์ หน้าทำเนียบรัฐบาล และการยิงและทำร้ายทหารโดยกลุ่มผู้ชุมนุมในการชุมนุมที่ผ่านมา รวมถึงการพูดโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง และถูก ส.ส.เพื่อไทย ประท้วงเป็นระยะๆ
แต่เมื่อมีคนประท้วง นายพิเชษฐ จึงได้ยอมถอนคำพูดดังกล่าว โดยเฉพาะ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ลุกขึ้นประท้วงหลายครั้ง ทำให้นายพิเชษฐ์ตอบโต้ โดยใช้คำว่า “ไอ้จ่าคนหนึ่งที่ชอบประท้วง”
ทำให้จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ลุกขึ้นประท้วงพร้อมตอบโต้กลับไปว่า “คนไม่เต็มบาท โรคจิต ไอ้แก่ตัณหากลับ” ทำให้นายเจริญ ได้สั่งให้นายประสิทธิ์ถอนคำพูด ซึ่ง จ.ส.ต.ประสิทธิ์ จึงได้ยอมถอน แต่ ส.ส.ประชาธิปัตย์ หลายคนได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ไม่ใช่แค่ถอนคำพูด แต่ต้องขอขมานายพิเชษฐ์
แต่ที่สุดนายพิเชษฐ์ได้กล่าวตัดบทว่า ไม่ต้องประท้วงแล้ว พร้อมอภิปรายต่อ โดยรับว่าจะใช้ถ้อยคำที่สุภาพขึ้น จากนั้นการประชุมได้ดำเนินการต่อไป
สภา ถก รายงาน กมธ.ปรองดองฯ กว่า 7 ชั่วโมง ไม่จบ ถกต่อวันนี้
จนมาถึงเวลา 00.10 น. ประธานในที่ประชุมได้พักการประชุม และจะมาอภิปรายต่อในวันนี้ (5 เม.ย.) ในเวลา 09.00 น.- 11.00 น. และจะปิดการอภิปราย จากนั้นจะมีการพิจารณากระทู้สดต่อไป