“เราไม่มีพรรค เราไม่มีฝ่าย เราต้องช่วยกันนำประเทศ ไปสู่การปรองดอง” นี่คือคำพูดบางตอนของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ในการประชุมครั้งนัดแรก เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2554
ครั้งนั้นกรอบการทำงานกำหนดไว้ว่า จะทำงานคู่ขนานกับ คอป. และให้สถาบันพระปกกล้าเป็นผู้รวบรวมความคิดเห็นทั้งหมด และสรุปเสนอกลับมายังกรรมาธิการอีกครั้ง รวมทั้งเชิญฝ่ายต่างๆ เข้าเพื่อเสนอความคิดเห็นด้วย
การประชุมใช้เวลาทุกวันอังคาร เป็นเวลากว่า 5 เดือน และตั้งเป้าว่าจะสรุปรายงานในวันที่ 27 มีนาคม 2555
แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นไปตามกำหนด เพราะก่อนหน้าหนึ่งวัน (26 มี.ค.) ปรากฏข้อความสั้นส่งถึงกรรมาธิการทุกคนว่า “งดประชุมเพราะ กมธ. ได้พิจารณาเสร็จแล้ว” เอสเอ็มเอสดังกล่าวเปรียบเหมือนเสียงระฆัง บอกเวลาว่าการปรองดองได้จบลงแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น กรรมาธิการปรองดองซีกพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 9 คน นำโดย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ได้ลาออกและให้เหตุผลว่า รายงานของกรรมาธิการยังมีความผิดพลาดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการโละคดี คตส. หรือการนำไปสู่การออก พรก. หรือ พรบ.นิรโทษกรรม และถ้าปล่อยให้รายงานออกไปในลักษณะดังกล่าวจะทำให้เกิดความเสียหายได้
รวมถึงฝ่ายค้านเองก็ดาหน้าออกมาโจมตีการทำงานของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ตั้งแต่หัวขบวน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ว่า ดูมีพิรุธ และการเร่งพิจารณาในเรื่องนี้เข้าสภาจะยิ่งทำให้แตกแยก ไม่ใช่ปรองดอง
แต่ก็ดูเหมือนไร้ผล เพราะกรรมาธิการเสียงข้างมากต่างดาหน้าออกมา ระบุว่า แม้กรรมาธิการซีกประชาธิปัตย์ลาออก ก็ไร้ปัญหา เพราะการประชุมเสร็จสิ้นแล้วและมีรายงานสรุปแล้ว
จากนั้นรายงานของกรรมาธิการปรองดองก็เข้าสู่รัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ และก็เป็นไปอย่างที่ทราบว่าเป็นไปอย่างดุเดือด เลือดพล่าน เพราะ ส.ส.ฝ่ายค้าน และ ส.ว. บางส่วนได้ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านและเรียกรายงานของกรรมาธิการปรองดองว่า “รายงานเถื่อน”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นในครั้งนั้น รวมไปถึงการล้อมกรอบ "พล.อ.สนธิ" รวมไปถึงด่าทอด้วยถ้อยคำทั้งที่เปิดเผยทางสื่อได้และเปิดเผยไม่ได้ โดยมีเป้าประสงค์เพื่อให้ถอนเรื่องนี้ออก
สุดท้าย "บิ๊กบัง" เลือกลุกขึ้นชี้แจง แต่แล้วจู่ๆ "กฤช อาทิตย์แก้ว" ส.ว.กำแพงเพชร ได้เสนอญัตติปิดการอภิปรายให้มีการลงมติ ทำให้บรรยากาศกลับมาร้อนอีกครั้ง จนฝ่ายค้านต้องวอล์กเอาท์ออกจากห้องประชุม และเข้าทาง เมื่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาอนุมัติในที่สุด
หลังจากเหตุการณ์นั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังสู้ไม่ถอย ได้ออกมาเรียกร้องให้สถาบันพระปกเกล้าถอนรายงานข้อเสนอกลับมา ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าเองก็เหมือนจะออกอาการ จนได้ออกแถลงการณ์ย้ำแนวทางสร้างปรองดองต้องศึกษาให้รอบคอบ พร้อมวางเงื่อนไขให้แก่รัฐบาล และหากไม่ยุติกลไกพิจารณาจะถอนรายงานการวิจัยทันที
ดูเหมือนทุกฝ่ายจะเห็นด้วยกับข้อเสนอเช่นว่า เพราะแม้แต่ "คนปรองดอง" อย่าง คอป. ก็ทำรายงานระบุชัดว่า ปรองดองต้องไม่เร่งรัด อดทนอดกลั้นรับฟังความเห็นทุกฝ่าย เพราะขณะนี้ "บรรยากาศ" ยังไม่เกิด
แต่พรรคเพื่อไทยกลับไม่ใส่ใจเสียงคัดค้านของฝ่ายใดทั้งสิ้น เดินหน้าเต็มตัว โดยกำชับให้ ส.ส. เข้าร่วมการประชุมพิจารณาในวันที่ 4 เมษายน อย่างพร้อมเพรียง
แม้กระทั่ง "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ออกมายืนยันว่า การที่สถาบันพระปกเกล้าจะถอนก็ไม่มีผลกระทบต่อการประชุมในวันที่ 4 เมษายน เพราะงานวิจัยเป็นเชิงวิชาการไม่มีผิดหรือถูกและผลงานวิจัยเพียงประกอบความเห็นกรรมาธิการเท่านั้น และที่ประชุมก็รับฟังเฉพาะรับฟังรายงานสรุปของกรรมาธิการเท่านั้น ไม่ได้รับฟังรายงานการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าและไม่กังวลเรื่องความวุ่นวาย
ต้องมาดูกันว่า ในการพิจารณาเรื่องร้อนๆ เรื่องนี้ ที่มีเวลาให้พิจารณากว่า 13 ชั่วโมง โดยให้เวลาฝ่ายค้าน 6 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 5 ชั่วโมง และให้กรรมาธิการชี้แจง 2 ชั่วโมง จะนำไปสู่การปรองดองได้จริงหรือไม่ หรือสุดท้ายทุกฝ่ายจะเดินหน้าตาม "ธง" ของตัวเอง
แต่ทุกคนรู้ดีว่า เสียงระฆังสิ้นสุดการปรองดอง มันได้ดังขึ้นแล้ว