เลิกพูดเถอะ 'ปรองดอง'

คมชัดลึก 7 เมษายน 2555 >>>




ถกกันวันแรกก็ปรองดองกันแต่ชื่อแล้ว มาวันที่ 2 ก็ยิ่งชัดเจนว่า สภาไม่ใช่สถานที่ที่จะปรองดองกัน แต่สภาเป็นที่ที่ขยายแผลเพิ่มความแตกแยกจากที่มีอยู่ เพราะความแตกแยกของบ้านเมืองนั้นมันไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ชาวบ้านเกลียดชังแบ่งก๊กแบ่งสีกันเอง
แต่มันมาจากนักการเมืองที่ไร้จริยธรรม ได้คุณธรรม ไม่ยึดในกฎบัตร กฎหมายบ้านเมือง
จากนั้นก็ไปสร้างมวลชนขึ้นมาสนับสนุน เพื่อขึ้นครองอำนาจส่งเสริมธุรกิจโกงกินบ้านเมือง
เมื่อความแตกแยกเกิดขึ้นจากนักการเมืองแล้วการถกกันในสภาเพื่อหาทางปรองดองมันจึงไร้ประโยชน์
ต่อให้สิบพระปกเกล้า ร้อยบวรศักดิ์ ก็ไม่มีวันที่จะทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นได้ในมวลหมู่นักการเมือง ตราบใดที่นักการเมืองใช้ความแตกแยกนำทางขึ้นสู่อำนาจ
บางทีบ้านเมืองเรามันน่าจะจริงอย่างที่ อาจารย์วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า บ้านเมืองเราจะปรองดองกันได้ก็ต่อเมื่อนักการเมืองรุ่นนี้ล้มหายตายจากไปจนหมดเสียก่อน
แต่เมื่อยังไม่ล้มหายตายจากแล้วยังมาถกเถียงกันในสภา มันก็คงจะหนีไม่พ้นที่จะเกิดความแตกแยกกันที่ในสภาแล้วจากนั้นก็คงจะบานปลายไปในชุมชนต่างๆ ที่เฝ้าดูการถ่ายทอดสด
เพราะฝักฝ่ายในสภานั้นชัดเจนอยู่แล้วว่ามุ่งหมายที่จะให้รายงานของกรรมาธิการปรองดองที่นำมารายงานต่อที่ประชุมสภานั้นเป็นไปในทิศทางใด เพื่อใคร
สมาชิกพรรคเพื่อไทย ก็อภิปรายมุ่งหวังให้ ทักษิณ ชินวัตร พ้นผิด โดยอ้างทั้งความเป็นธรรม และเป็นผู้ถูกกระทำ
ขณะที่ประชาธิปัตย์ก็ตอกย้ำถึงความผิดตามที่ศาลได้มีคำพิพากษาเอาผิดทักษิณ
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยยังเป็นฝ่ายค้าน มีเวทีคนเสื้อแดงที่ข้างถนนตั้งแต่ปี 2552 แล้ว จนมาถึงปี 2553 ถึงได้ฆ่ากันยกใหญ่ตายเกือบร้อยคน
หลังฆ่ากันแล้วก็มาฉะกันในสภาอีกหลายรอบในช่วงที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
วันนี้ยังมาพูดเรื่องเดิม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ?
ต่างก็รู้กันอยู่ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากนักการเมืองล้วนๆ ไม่ใช่ตัวเอ้ ก็เป็นลูกกะจ๊อก คอยตามแห่ ตามเชียร์ โดยไม่ต้องใช้สำนึกชั่วดีชี้ขาดการกระทำ
บ้านเมืองเราปรองดองกันไม่ได้หรอก ถ้าหากวันนี้สำนึกผิดชอบชั่วดีไม่เกิด ความละอายต่อบาปไม่มี