
มีมุมมองอันแตกต่างกัน 2 มุมมองระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 อันวางแบอยู่เบื้องหน้า
มุมมองจากพรรคเพื่อไทยเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังยื้อ กำลังป่วน
มุมมองจากพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเร่ง รีบร้อน เพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อคนคนเดียว เพื่อ "นายใหญ่" ซึ่งอยู่ต่างประเทศ
ภาพของการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 2 ซึ่งน่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นใน 2 วันแรกจึงทอดยาว ต่อเวลาแล้วต่อเวลาอีก
ตราบ ณ บัดนี้ก็ผ่านไปได้เพียงไม่กี่มาตรา
เหมือนกับกระบวนการเหล่านี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย เสมอเป็นเพียงวาทกรรมและการต่อปากต่อคำระหว่างนักการเมืองอันเป็นคู่กรณี 2 ฝ่าย
เหมือนกับเป็นเรื่องน่าเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เป็นความจำเป็น
เป็นความจำเป็นอันพรรคประชาปัตย์จะต้องยื้อ จะต้องดึง จะต้องป่วน และเป็นความจำเป็นที่พรรคเพื่อไทยจะต้องล้างหูน้อมรับฟังด้วยความอดทน อดกลั้นเป็นอย่างสูง
นี่แหละคือประชาธิปไตย
ในระบอบประชาธิปไตย การเสนอร่างกฎหมายแต่ละฉบับไม่ใช่เรื่องปอกกล้วยเข้าปาก ยิ่งเป็นการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอันถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดยิ่งเป็นเรื่องยาก
วาระ 1 ซึ่งยากอยู่แล้ว วาระ 2 ยิ่งยืดเยื้อเพราะมีการแปรญัตติ มีการอภิปรายต่อสู้ วาระ 3 ยิ่งต้องระดมกำลังเข้ามายกมืออย่างหนักหนาสาหัส
นี่คือกลไกแห่งระบอบประชาธิปไตย
ตรงกันข้าม เมื่อ จอมพลถนอม กิตติขจร ก่อการยึดอำนาจเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2514 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511 ก็ถูกฉีกทิ้งภายในชั่วคืนเดียว ทั้งๆ ที่เป็นรัฐธรรมนูญซึ่งใช้เวลาร่างมายาวนานร่วม 10 ปี
ตรงกันข้าม เมื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก่อการยึดอำนาจเมื่อเดือนกันยายน 2549 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ก็ถูกฉีกทิ้งภายในชั่วคืนเดียว ทั้งๆ ที่รับรู้กันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
บรรดาดอกเตอร์ทั้งหลายไม่ว่าจะจบอังดรัวส์จากฝรั่งเศส ไม่ว่าจะจบกฎหมายมหาชนจากสำนักเบิร์กเลย์ ไม่ว่าราษฎรอาวุโสระดับใด ไม่ว่าหัวหน้าพรรคการเมืองใด หุบปากเงียบ นิ่งสนิทไม่มีใครออกมาโต้แย้ง เพราะกลัวอำนาจปืน
ยิ่งขุนพลนักพูดจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไม่ว่าจะเป็น นายสุทัศน์ เงินหมื่น ไม่ว่าจะเป็น นายนิพนธ์ บุญญามาณี ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย ยิ่งเป็นเรื่องดี
เพราะว่าบ้านเมืองเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย รัฐสภาด้านหลักมีพื้นฐานมาจากการเลือกตั้งของประชาชน (มีเพียงพวกแปลกปลอมบางส่วนในวุฒิสภาที่มาโดยการสรรหา)
นี่ย่อมต่างไปจากอำนาจรัฐภายใต้ปากกระบอกปืนในยุค จอมพลถนอม กิตติขจร หลังรัฐประหารเดือนพฤศจิกายน 2514 นี่ย่อมแตกต่างจากอำนาจรัฐภายใต้กระบอกปืนในยุค พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549
ต่างกันตรงที่มีสภา จะทำอะไรก็ต้องผ่านระบบรัฐสภา
แม้พรรคเพื่อไทยจะต้องการความรวดเร็วมากเพียงใด ความยากลำบากที่เกิดขึ้นย่อมตามมามากเพียงนั้น
ทุกอย่างดำเนินไปตามสมการทางการเมืองแห่งระบอบประชาธิปไตย
หากเป็นอำนาจรัฐภายใต้กระบอกปืนคนของพรรคประชาธิปัตย์คงยากที่จะแกล้วกล้าสามารถระดับนี้ เห็นแต่งอก่องอขิงเหมือนกำลังอมไม้ตีพริกด้วยกันทั้งเพ
ที่พูดได้ก็เพราะเป็นระบอบประชาธิปไตย
หากไม่นำภาพปัจจุบันไปเทียบกับภาพในยุคแห่งการรัฐประหาร ภาพย่อมไม่แจ่มชัด
น่าเศร้าก็ตรงที่ยิ่งพูดยิ่งเท่ากับไปปกปักคุ้มครองมรดกอันเป็นผลพวงของการรัฐประหารยิ่งพูดยิ่งทำให้สีสันของการลากปืนมายึดอำนาจมีความชอบธรรม
ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาประชาชน