โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ ....
เรื่องจริงเป็นอย่างไร จะแยกเรื่องเท็จออกมาได้อย่างไร ?
ดู เผินๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำหรับผู้ได้เปรียบในสังคม เพราะผู้คนในเครือข่ายผู้ปกครองของระบอบอำมาตยาธิปไตยที่เป็นผู้กระทำ ไม่สนใจว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ? โดยเฉพาะเรื่องจริงของผู้ถูกกระทำ หรือผู้ถูกปกครอง กลุ่มคนเหล่านี้จะใช้ความเชื่อ (ให้อยู่เหนือความจริง) และคำบอกเล่าของผู้คนในกลุ่มเดียวกันเป็นสำคัญ และจะกระทำตามความเชื่อทางอัตวิสัยของตนเป็นหลัก
นี่คือเส้นทางนำไปสู่ความพินาศหายนะของกลุ่มคนจารีตนิยม ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาในทุกประเทศ
ด้วยกลุ่มคนรายล้อมของระบอบการปกครองโบราณทุกประเทศล้วนเป็นขุนศึกขุนนางที่กุม อำนาจไว้ เพื่อต่อรองกับพระมหากษัตริย์ ถ้าสูญเสียอำนาจก็อาจหมายถึง “หัวขาดเจ็ดชั่วโคตร” หรือ ”ฟันคอริบเรือน”
ความ จริงของอภิสิทธิ์ชนจึงไม่ใช่ความจริงทางภววิสัย ดังนั้นท่วงทำนองการค้นหาความจริงจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้กับเครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ยังครองอำนาจอยู่ และนี่คือสิ่งที่ฝ่ายประชาชนจะต้องเผชิญแม้จะได้ตั้งรัฐบาล เพราะรัฐบาลนี้ก็ยังตกอยู่ภายใต้กลไกรัฐเงื้อมมือของระบอบอำมาตยธิปไตย
ความ พยายามตีแผ่ความจริงของฝ่ายประชาชนจึงต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามมิใช่น้อย ในเรื่องราวเหตุการณ์การปราบปรามประชาชนเมื่อเมษา-พฤษภา 2553
ในเมื่อ ฝั่งระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่สำรวจภววิสัย แต่กระทำตามอำเภอใจ พอผิดพลาดก็ใช้เครื่องมือตัวอื่นมาจัดการแก้ดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา โดยไม่ต้องรับผิดชอบใดๆซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นวงจรอุบาทว์ ทำรัฐประหารทางการทหาร และทางกฎหมายสลับกันเช่นนี้ เพื่อให้รักษาอำนาจระบอบอำมาตยาธิปไตยไว้ ไม่ยอมให้สังคมได้ก้าวสู่สังคมการเมืองการปกครองที่คืนอำนาจให้ประชาชนจริง สังคมไทยจึงถูกทำให้เชื่อโดยการเล่าเรื่อง เขียนประวัติศาสตร์ตามที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยต้องการให้ประชาชนเชื่อ
จน ถึงปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น ท่วงทำนองของผู้ปกครองที่ล้าหลัง และเผด็จการจึงจำเป็นต้องเล่าเรื่องเท็จร้อยเปอร์เซ็นต์หรือห้าสิบเปอร์เซ็นต์
เช่นเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ เท็จร้อยเปอร์เซ็นต์ เรื่องผังล้มเจ้า ก็เท็จทั้งสิ้นเช่นกัน หรือย้อนในอดีต ใส่ร้ายป้ายสี อาจารย์ปรีดีว่า วางแผนปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ 8 หรือในยุค 6 ตุลา ก็ว่านักศึกษาเป็นพวกญวนสะสมอาวุธ พวกเสื้อแดงในปัจจุบันก็เป็นพวกผู้ก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง พวกล้มสถาบัน ล้วนเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น มาวันนี้ก็ใส่ร้ายว่าคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังการที่เยอรมันยึดเครื่องบินของ ราชวงศ์ซึ่งก็เป็นเรื่องเท็จ
ทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานใดๆ เพราะในอดีตพวกเขาก็ทำเช่นนี้ได้ผลมาแล้ว ทำให้คนส่วนหนึ่ง (ค่อนข้างมาก) ในสังคมเชื่อตามไป แม้หลายเรื่องศาลจะพิพากษาว่าไม่จริง แต่พวกเขาได้ทำให้ความเท็จกลายเป็นความเชื่อของสังคมว่าเป็นความจริงไปแล้ว
และ หลายเรื่องในประวัติศาสตร์ที่เรียนกันก็มีส่วนผสมความเชื่อที่ไม่ใช่เรื่อง จริงอยู่มากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ผู้ปกครอง และราชวงศ์ที่สืบเนื่องกันมาตั้งแต่ยุคโบราณ การเล่าความเท็จและใส่ร้ายป้ายสีจึงเป็นยุทธิวิธีโจมตีปฏิปักษ์ และเป็นท่วงทำนองประจำของกลุ่มเครือข่ายระบอบอำมาตย์ เห็นชัดในหน่วยงานความมั่นคงของระบอบอำมาตย์ (ไม่ใช่ของประเทศ ประชาชน)
การ รายงานจาก ศอฉ. ประกาศต่างๆของคณะรัฐประหาร และพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่จะถนัดในเรื่องนี้ ได้สร้างขนบไว้ให้ “โกหกใส่ร้ายคู่แข่งไว้ ปล่อยให้พวกมันแก้ตัว ถ้าพวกมันแก้ได้ เราก็โกหกใส่ร้ายเรื่องใหม่อีก ให้หน้าที่แก้ตัวเป็นเรื่องของพวกมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา” นี่คือคำบอกเล่าของคนในพรรคเก่าแก่ที่สอนผู้สมัคร ส.ส. ใหม่ หลายปีมาแล้ว
การพูดเท็จใส่ร้ายป้ายสีจึงเป็นเรื่อง ท่วงทำนองที่เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดและรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มคนอนุรักษ์จารีตนิยม
ใน ฝั่งประชาชนเล่า จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือไม่ ตอบได้ว่า “ไม่จำเป็นเลย ตรงข้ามเป็นความผิดใหญ่หลวง ถ้าเอาความเท็จมาใช้ในการต่อสู้ของประชาชน” ในฐานะประชาชนผู้ถูกกระทำ เรามีแต่ทำให้ “ความจริงปรากฏ”เท่านั้น และต้องเป็น “ความจริงทางภววิสัย” ไม่ใช่ความจริงจากความเชื่อทางอัตวิสัยของตนและกลุ่มตน
ดังนั้น ท่วงทำนองฝ่ายประชาชนจึงต้องหาความจริงโดยรอบด้านมิใช่เท็จครึ่งจริงครึ่ง และนอกจากรับรู้ปรากฏการณ์แล้ว ยังต้องนำไปสู่ธาตุแท้ของปรากฏการณ์นั้นด้วย ดังนั้นประการแรกคือ ข้อมูลข่าวสารต้องรอบด้านเป็นความจริงทางภววิสัย ประการต่อมา ต้องยกระดับ สามารถมองทะลุปรากฏการณ์ไปสู่ธาตุแท้ และได้รากเง่าของปัญหา จึงจะดำเนินการแก้ปัญหานั้นได้ถูกต้อง
การพูด เท็จโดยตั้งใจ นั่นหมายถึงผู้พูดกำลังพูดเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพราะถ้าพูดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนไม่จำเป็นต้องพูดเท็จ การพูดเท็จ (แม้จะเป็นการตอบโต้ศัตรูประชาชน) เท่ากับทำลายความชอบธรรมของฝ่ายประชาชนลงไป และจะเป็นความเสียหายอย่างยิ่ง ทำให้ประชาชนทั่วไปขาดความเชื่อถือ
ยิ่งเมื่อ พูดเท็จต่อฝ่ายประชาชนด้วยกัน ซ้ำให้ร้ายป้ายสีฝ่ายประชาชนด้วยกัน ด้านหนึ่งก็เป็นการทำลายฝ่ายประชาชนด้วยกันด้วยความจงใจ อีกด้านหนึ่งก็เปิดเผยตัวตนของผู้พูดเท็จ ว่ากำลังพูดบนผลประโยชน์ของใคร ของตนเอง หรือของฝ่ายปฏิปักษ์ประชาชน ? เพราะคำเท็จนั้นเป็นของต้องห้ามของฝ่ายประชาชน แต่คำเท็จนั้นเป็นความจำเป็นที่ต้องใช้สำหรับฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชน เพราะฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชนนั้นไม่มีความชอบธรรมใดๆ
ในชีวิต ของผู้เขียน ได้พบการพูดเท็จของฝ่ายผู้ปกครองต่อฝ่ายประชาชนมามากมาย จากอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่การพูดเท็จเพื่อกล่าวหาฝ่ายประชาชนกันเอง ผ่านสื่อ เพิ่งจะได้พบในยุคนี้ ที่การต่อสู้ของประชาชนขึ้นสู่กระแสสูง(ในอดีตพบน้อย)การทำลายองค์กรของ ประชาชน ทำลายฝ่ายประชาชน จึงได้รับการผสมโรงทั้งฝ่ายเครือข่ายระบอบอำมาตย์และฝ่ายตรงข้ามที่แฝงตัว อยู่ในฝ่ายประชาชนเอง หรือเป็นพวกที่ทำเพื่อผลประโยชน์ตนเอง
ดังที่ผู้ เขียนเคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อประสบชัยชนะจะมีปัจจัยแห่งความพ่ายแพ้ก่อตัวขึ้นทันที หรือในชัยชนะจะมีความพ่ายแพ้” ถ้าฝ่ายประชาชนรู้ทัน ก่อสร้างฐานแห่งชัยชนะให้แข็งแรง กว้างขวาง ด้วย
1. การขยายตัวของประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมือง
2. ด้วยองค์ความรู้ของฝ่ายประชาชนมากขึ้น และ
3. ด้วยการจัดตั้งองค์กร และ
4. การนำที่เข้มแข็งตามแนวทางที่ถูกต้อง
หยิบปัจจัยแห่งความพ่ายแพ้ออกไปแล้ว เช่นนี้ก็จะกำจัดปัจจัยแห่งความพ่ายแพ้ลงไปได้ระดับหนึ่ง
ที่ สำคัญคือ อย่าให้ความเท็จและความเชื่อผิดๆ มาครอบงำความคิดและชี้นำการกระทำของฝ่ายประชาชนเป็นอันขาด เพราะนั่นไม่ใช่ยุทธวิธี และไม่ใช่ท่วงทำนองการปฏิบัติของฝ่ายประชาชน