โดย...ชุษณ์วัฏ ตันวานิช
ข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ปักธงล้างความไม่เท่าเทียมทางอำนาจ แต่กลับจำกัดกรอบการต่อสู้แบบการเมืองสองขากับระบบพรรค ยิ่งถูกท้าทายอย่างหนักจากปาฐกถาของ ธีรยุทธ บุญมี อดีตคนเดือนตุลาฯ ที่ตั้งคำถามว่าหากเสื้อแดงเป็นพลังของคนรากหญ้า เหตุใดจึงไม่ผลักดันการกระจายอำนาจ เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง
แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถตอบโจทย์นี้ได้ดีเท่ากับ “ธิดา ถาวรเศรษฐ” ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในฐานะเเม่ทัพองค์กรคนเสื้อแดงที่แข็งแรงที่สุด
ธิดา วิเคราะห์ถึง ปาฐกถาของของ ธีรยุทธ รวมถึง เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตแกนนำนักศึกษาเดือนตุลาฯ ว่า ปาฐกของทั้งสองคนเรียกผู้ปกครองด้วยภาษาเดียวกัน คือ กลุ่มอนุรักษนิยมชนชั้นนำเดิม ที่สำคัญ คือ ทั้งคู่มองสถานการณ์ “คู่ขัดแย้ง” ใกล้เคียงกันว่า เป็นการปะทะระหว่างกลุ่มชนชั้นนำเดิมและกลุ่มทุนใหม่ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นตัวแทน ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่ดีที่มองบริบทของฝ่ายประชาชนและชนชั้นปกครองที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามเห็นว่าเสกสรรนั้นพยายามสวมบทบาทเป็น “ทูตสันถวไมตรี” ระหว่างชนชั้นกลางใหม่และชนชั้นกลางเก่าดังที่เสกสรรค์ใช้คำว่า “ภาคประชาชน” แทนชนชั้นกลาง แล้วเรียกฝั่งเสื้อแดงว่าเป็น “ภาคมวลชน”
“หลายข้อเสนอของเสกสรรนั้นเราก็เห็นด้วย และยินดีที่ให้พลังประชาธิปไตยขยายแนวร่วมหลายชนชั้น เเละบอกเสื้อเเดงว่าอย่าไปเอาหมวกใส่และว่าฝ่ายอื่น ให้ขยายพลังประชาธิปไตยด้วยแนวคิดเสรีนิยม ซึ่งหลักการของเราก็ต้องการมิตรอยู่แล้ว เราต้องการเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรด้วยซ้ำ ไม่อยากไปทำฟาร์มเพาะศัตรู เราก็พยายามไม่ใช้อารมณ์ในการพูดถึงคนที่เขาไม่ใช่ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม หรือเขาไม่ใช่ตัวเป้าหมายหลักของเรา ก็ไม่ต้องไปด่าเขาก็ได้ เพราะเขาถือเป็นประชาชนที่เห็นแตกต่างกันเท่านั้น เราก็พูดตลอดเลยว่าต้องใช้แนวคิดเสรีนิยม คือ คนต่างความคิดกันก็อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ต้องมาฆ่ากัน
...การเมืองการปกครองต้องเป็นระบอบประชาธิปไตย ฐานเศรษฐกิจต้องเป็นทุนนิยมเสรี อุดมการณ์ต้องเป็นเสรีนิยม 3 อย่างนี้เราพูดในรงเรียน นปช.ตลอด พูดกันตรงๆ ในข้อเสนอแนะนั้นเรายินดีน้อมรับและเห็นด้วย แต่เราก็เรียกร้องต่อชนชั้นกลางเก่าเช่นเดียวกันว่า การที่เราเรียกตัวเองว่าไพร่ ไพร่ภาษามันไม่เพราะหรอก แต่ภาษาไพร่ของเราก็ไม่เที่ยวไปด่าคนอื่นว่าเป็นขี้ ถ้าข้อเสนอของเสกสรรค์บอกว่าจะไม่สวมหมวกใคร ไม่ใช้เฮท สปีชและความเกลียดชัง ปรากฏว่าเพื่อนเขา ธีรยุทธนี่เหม็นไปหมดเลย แล้วระยะหลังจะเห็นได้ว่าไป ๆ มาๆ ไอคำพูดที่ว่า อีโง่ กะหรี่ คำพูดคำแรงๆ หยาบคายเหล่านี้ มันกลายเป็นชนชั้นกลางเก่าใช้ยิ่งกว่าชาวบ้านนะ แกนนำเสื้อแดงยังไม่แรงถึงขนาดนี้”
อย่างไรก็ตาม แม่ทัพ นปช.ระบุว่า ปาฐกถาของทั้ง 2 คนมองกลุ่มทุนได้อย่างมีเหตุมีผล เสกสรร กับ ธีรยุทธ มองตรงกัน คือ แบ่งเป็นชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมกลุ่มทุนดั้งเดิมกับทุนกลุ่มใหม่ โดย 2 คนนี้ไม่ใช้คำว่า “ทุนสามานย์” แสดงถึงความก้าวหน้าทางความคิด อย่างไรก็ตามส่วนตัวยังมองว่าพลังทางการเมืองของกลุ่มที่ยังคงใช้คำว่า ทุนสามานย์ นั้นเป็นความคิดล้าหลัง และของยังยืนยันว่า ด้วยพลวัตน์ของโลกปัจจุบันไม่สามารถทำให้ไทยหลีกหนีจากทุนนิยมได้
“คำหนึ่งก็โค่นระบอบทักษิณ อีกคำก็ทุนนิยมสามานย์ คือ กลุ่มคนเหล่านี้จะบอกว่าตัวเองต่อต้านทุนนิยมทั้งหมดเลยก็ไม่ได้ เขาเลยต้องเลือกใช้คำว่าทุนนิยมสามานย์ และไอ้ที่อยู่กับเขามันไม่สามานย์หรือ ไอ้ที่คุณกอดอยู่นั้นคุณรู้หรือเปล่าว่ามันสามานย์ขนาดไหน ถามหน่อยทุนนิยมไหนมันไม่สามานย์บ้าง สามานย์มาก สามานย์น้อย แต่มันก็สามานย์ด้วยกันทั้งหมด ทำไมทุนนิยมของทักษิณถึงต้องสามานย์อยู่คนเดียว เพราะที่จริงแล้วเขาไม่ได้คัดค้านทุนนิยม แต่เขาคัดค้านทักษิณ เพราะทุนทักษิณเป็นทุนนิยมที่ไม่สวามิภักดิ์ต่อชนชั้นนำอนุรักษนิยม
...เพราะฉะนั้นที่เขาบอกว่าไม่สนับสนุนทุนนิยมเสรีนั้น ไม่จริง เพราะในรัฐธรรมนูญ 50 ของพวกเขานั่นแหละเขียนไว้อย่างชัดเจนเอาทั้งทุนนิยมเสรี และเศรษฐกิจพอเพียง ไม่รู้จะเอาแบบไหน เขียนจนกระทั่งรัฐบาลไม่ต้องทำนโยบายอะไร หากรัฐบาลจะทำตามที่เขาเขียนยังทำไม่ถูกเลย เพราะมันขัดแย้งกันเอง ฉะนั้นจริงๆ แล้วเขาไม่ได้คัดค้านทุนนิยม แต่เขาต้องการคัดค้านคุณทักษิณ”
ในส่วนปาฐกถาของ "ธีรยุทธ" ธิดา ชี้ว่า แม้จะยังมีความเกลียดชัง และอคติทางการเมืองมาบดบังสาระสำคัญผ่านวาทกรรมที่มีกลิ่น แต่หากมองอย่างละเอียดนั้นพบว่า ธีรยุทธ ยอมจำนนแล้วว่าการรัฐประหารเป็นเครื่องมือที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไป และยอมรับในการเติบโตของพลังประชาชน พร้อมทั้งเสนอแนะว่า ทักษิณ เสื้อเหลือง เสื้อแดง ไม่ใช่วิกฤตการเมือง ดังนั้นสิ่งที่ธีรยุทธต้องการจะบอก คือ การเมืองไทยจงอยู่กับเหลืองกับแดงและทักษิณต่อไป เพียงแต่ให้มองในมิติใหม่ว่ามันเป็นแค่ปัญหาเชิงธรรมาภิบาลเท่านั้น
เหลือง แดง ทักษิณ ไม่ใช่วิกฤตอีกต่อไป ธีรยุทธได้เสนอว่าปัญหาเชิงโครงสร้างไทยต้องปลดล็อคโดยการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางชนชั้นนำ แต่เสื้อแดงที่เป็นพลังของรากหญ้ากลับไม่ผลักดัน ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยกุมอำนาจรัฐ? ธิดาเห็นแย้งว่า คนเสื้อแดงก็เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ แต่สภาวะการเมืองไทยเวลานี้ยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แม้จะมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง นปช.จึงต้องตั้งยุทธศาสตร์เรียกร้องให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะไม่มีประโยชน์ใดที่จะกระจายอำนาจ หากยังมีอำนาจยังไม่เป็นของประชาชน
“...บอกให้เราไปผลักดันเรื่องกระจายอำนาจกับรัฐบาล คนเสื้อแดงไม่มีใครขัดข้อง แต่ถามว่าอำนาจที่จะให้กระจายมันอยู่ที่ไหน อำนาจยังไม่ได้อยู่ในมือประชาชนเลย เป็นรัฐบาลที่มาจากการการเลือกตั้ง แต่มีมีดสั้นทั้งองค์กรอิสระ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจ่อคอหอยอยู่ทั้งรัฐสภาและรัฐบาล จ่อคอบังคับให้เดินตามเส้นทางที่เขาขีดให้เดิน ไม่อย่างนั้นโดนทิ่ม ดังนั้นตอนนี้รัฐบาลได้รับการเลือกตั้งมาแล้วแต่ยังถูกจัดการอย่างไม่เป็นธรรม เราก็ต้องสนับสนุนรัฐบาล แต่บอกเลยว่าเราไม่ได้ปกป้องรัฐบาล เพียงแต่สนับสนุนและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น เราไม่ได้เข้าข้างในฐานะที่เขาเป็นพรรคเพื่อไทย แต่เราเข้าข้างในฐานะที่เขาได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน
...ดังนั้นเราต้องรบในประเด็นนี้ก่อนถูกไหม ถ้าประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว เรื่องพรรคเพื่อไทยคิดบัญชีทีหลังได้ แล้วตอนนี้จะให้ไปคิดบัญชีอะไร แม้แต่รัฐบาลยังเอาตัวไม่รอด ไม่รู้ว่าจะไปวันไหน แล้วเหตุผลอะไรที่เราต้องมากระทืบพรรคเพื่อไทยเองในเมื่อเพื่อไทยไม่ใช่ปัญหาหลักที่เราต้องการต่อสู้ เรามีเป้าหมายยุทธศาสตร์หลักในการเรียกร้องประชาธิปไตย เราไม่เอารัฐบาลที่มาจากค่ายทหาร เราต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องการให้แก้ไขผลพวงการรัฐประหาร แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวง ดังนั้นเรื่องกระจายอำนาจเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้อำนาจยังไม่เป็นของประชาชนเลย แล้วคุณจะให้เราเอาอำนาจของระบอบอำมาตย์ไปกระจายหรือ?
เเม่ทัพ นปช.ถามกลับมาอีกว่า...แล้วถามว่ารัฐบาลไหนที่ขัดขวางการกระจายอำนาจ ไปดูสิว่ารัฐบาลไหนทำให้กระทรวงมหาดไทยยิ่งรวมศูนย์อำนาจ กระทั่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหมด เลือกตั้งก็ไม่ต้องเลือกแล้ว ถามว่าใครทำ ไม่ใช่รัฐบาลของพวกอนุรักษ์นิยมทำหรอกหรือ อยากจะมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแบบสมัยรัชกาลที่ 5 พอมาถึงรัฐบาลนี้ก็แก้ไม่ได้แล้ว ขืนไปแก้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็เดินขบวนทั่วประเทศ ทั้งที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมัยก่อนไม่ต้องมีการให้เงินเดือนด้วยซ้ำ เอาเกียรติยศมาแทน แต่สมัยนี้เอาทุกอย่างเอาทั้งทุนนิยม เอาทั้งอำมาตย์ เท่ากับทำตัวเองเป็นทั้งอำมาตย์เป็นทั้งนายทุนไปในตัว เพราะฉะนั้น ธีรยุทธ คุณต้องไปตั้งคำถามกับรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่มองข้ามรัฐบาลอำมาตย์แล้วมาถามกับคนเสื้อแดง”
ส่วนความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงสร้างภาษีและการปฏิรูปการุถือครองที่ดินนั้น ธิดา ยอมรับว่า เป็นปัญหาความไม่เท่าเทียมในสังคม แต่ไม่ว่ารัฐบาลใดก็แก้ไขยาก เพราะกลุ่มที่ถือครองที่ดินเป็นกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมแทบทั้งสิ้น หากแก้ขึ้นมาย่อมกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแน่นอน
“ที่ดินที่มีการครอบครองทั่วไปมีประมาณ 120 ล้านไร่ แต่ 90% ของที่ดินกระจุกอยู่ในมือของคนเพียง 10% และเจ้าของที่ดิน 50 รายแรกถือครองที่ดิน 10% ของที่ดินใน กทม.ทั้งหมด แต่ถามว่ารัฐบาลไหนจะกล้าจัดเก็บภาษีที่ดินภาษีก้าวหน้า ตอนเป็นรัฐบาลระบอบอำมาตย์คุณกล้าทำไหม ไม่มีทาง! อย่าลืมว่าสมัยคณะราษฎร ในยุคของจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม (อดีตนายกรัฐมนตรี) เขาจำกัดการถือครองที่ดินการทำการเกษตรไม่ให้เกิน 50 ไร่ แล้วใครที่มายกเลิก ไม่ใช่เพราะรัฐประหารที่ทหารเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับระบอบอำมาตย์หรือ
...พอจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (อดีตนายกฯ) ขึ้นมาก็เปลี่ยนทันทีเลย เพราะพวกทหารเอง กลุ่มชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมเองมีที่ดินเป็นพันๆ หมื่นๆ ไร่ เขาจะยอมให้จอมพล ป.ทำสำเร็จหรือ รัฐบาลจะอยู่ได้ยังไง อยู่ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครพูด รัฐบาลประชาธิปัตย์ทำได้ไหม ทำไม่ได้ ถามว่าพวกปัญญาชนอนุรักษ์นิยมพูดไหม เขาก็ไม่พูด ขณะนี้จะแก้รัฐธรรมนูญยังทำไม่ได้เลย ให้ สว.มาจากการเลือกตั้งก็ไม่ได้แล้วจะไปทำอะไร ขืนไปพูดเรื่องภาษีก้าวหน้าเดี๋ยวเขาเอาตาย”
ถึงกระนั้น ธิดา อธิบายว่า ไม่ใช่ว่าคนเสื้อแดงจะผูกขาดการต่อรองอำนาจในพื้นที่ทางการเมืองเท่านั้น แน่นอนว่าต้องเรียกร้องในทางเศรษฐกิจด้วย แต่ 2 สิ่งนี้ผูกโยงกันอย่างแยกไม่ออก ไม่มีทางที่จะได้อำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจ หากยังไม่ได้ระบบการเมืองที่เป็นธรรม ดังนั้นหนึ่งในนโยบายของ นปช.จึงได้ระบุว่า ต้องเปลี่ยนการเรียกร้องทางเศรษฐกิจเป็นการเรียกร้องทางการเมือง เพราะเราจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็ต่อเมื่อการเรียกร้องทางการเมืองสัมฤทธิ์ผลเเล้วเท่านั้น
“...ทุกวันนี้ถามว่าคนเสื้อแดงมีปัญหาไหมเขามี เขามีปัญหาราคามันสำปะหลัง ข้าวโพด เหมือนคนอื่น ๆ แต่เขาต้องกัดฟัน เพราะเขาต้องการแก้ปัญหาทางการเมืองก่อน ในนโยบาย เราเอาประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาส่วนบุคคลเป็นตัวตั้ง แล้วเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเข้ามาอยู่ในทางการเมือง เราจึงไม่เห็นคนเสื้อแดงมาเรียกร้องแบบนี้ เวลาลงพื้นที่เราตั้งคำถามออกไปให้โหวตเลยดูว่าประชาชนคิดจะเรียกร้องยังไง แต่เขาตอบกลับมามันเป็นคำตอบที่เป็นทรรศนะทางการเมืองล้วนๆ
...ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของเรามันพิสูจน์ให้เห็นว่า ถึงคนจนมากแต่เขาไม่ได้มาเรียกร้องเรื่องราคาพืชผล สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์มีคนเสื้อแดงมาเรียกร้องในเรื่องการประกันราคาข้าว ให้เปลี่ยนเป็นการรับจำนำไหม ไม่มี นี่คือความเป็นจริงที่ปัญญาชนคนชั้นกลางเก่าทั้งหลายควรจะรู้เอาไว้ ต่อให้จนให้ตาย เขาก็ไม่เรียกร้องทางเศรษฐกิจ แต่เขามาเรียกร้องประชาธิปไตย เขาออกมาเรียกร้องให้ ยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าคุณจะได้สิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อมวลชนพื้นฐานก็ต่อเมื่ออำนาจรัฐต้องเป็นของประชาชน เขาจึงจะสามารถกำหนดวางแผนทางเศรษฐกิจได้ ถ้าอำนาจรัฐอยู่กับชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม เขาเห็นหัวคุณรึเปล่า ไม่มีทาง
...ขณะนี้กลุ่มชนชั้นนำเขาโกรธมาก เขาเสียดายจะตายแล้วว่ารัฐต้องมาจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวตั้งเท่าไร แต่ถามว่าเมื่อตอนปี 2540 ที่รัฐเอาเงินไปค้ำแบงก์กับพวกบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่างๆ ที่วายป่วงเท่าไร กี่ล้านล้าน ทุกวันนี้หนี้ยังไม่ได้จ่ายเลย ธนาคารแห่งประเทศไทยอ้างว่าจะจ่ายเงินต้น จ่ายนิดเดียว แต่ดอกเบี้ยให้รัฐบาลจ่าย ถามว่าสิ่งนี้กลุ่มชนชั้นนำอนุรักษนิยมเคยพูดบ้างไหมว่าประเทศนี้ต้องเสียหายกับการที่ไปอุ้มแบงก์เท่าไร แต่เดี๋ยวนี้แบงก์รอดหมด แต่ขอโทษ ต่างประเทศมาเป็นเจ้าของเกือบหมดแล้วยกเว้น ธ.ไทยพาณิชย์กับ ธ.กรุงไทย แต่ทำไมคุณถึงมาโวยวายกับโครงการรับจำนำข้าวอย่างเดียว” ประธาน นปช.ทิ้งท้าย