ทีมข่าว นปช.
11 มิถุนายน 2556
ทีมงานอ.ธิดา ได้ถอดคำพูด (บางส่วน) ในรายการเหลียวหลังแลไปข้างหน้าเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 พ.ค. 56 ในประเด็นที่เกี่ยวกับการปล่อยตัวผู้ต้องขังจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่และเรือนจำจังหวัดอุดรธานี และต่อด้วยเรื่องพ.ร.บ.ปรองดองและพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ผู้ดำเนินรายการ : ครับคุณผู้ชมครับ ทุก ๆ วันศุกร์ เราก็จะมาพูดคุยเรื่องของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างที่เกริ่นกันไปว่า วันนี้เราจะเริ่มต้นกันที่ประเด็นที่เป็นข่าวดีกันก่อนนะครับอาจารย์ นักโทษทางการเมืองวันนี้ที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ก็ได้รับการปล่อยตัวอีกหนึ่งท่านนะครับ ก็ซึ่งนั่นก็คือนายทองสุข หลาสพ นะครับ ส่วนที่เรือนจำจังหวัดอุดรธานีก็ได้รับการปล่อยตัว 2 ท่านนะครับ นั่นก็คือนายแพง ระดาดาษ แล้วก็นายเจริญ ลำเนานาน นั่นเอง ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาอาจารย์ก็ไปต้อนรับสำหรับนักโทษทางการเมืองที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ด้วย
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : ค่ะ
ก็คือทองสุข หลาสพ
เนี่ยความจริงคดีเขาก็ไม่ได้เป็นคดีที่ใหญ่แต่เขาก็ถูก 2 ข้อหาก็คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
กับ พ.ร.บ.เกี่ยวกับหมายถึงสิ่งเทียมหรืออาวุธปืน
ก่อนหน้านี้ก็คือพิทยา แน่นอุดร
ก็ได้รับการปล่อยตัวก็คล้าย ๆ กัน คือคนเหล่านี้จะเป็นการ์ดอาสา แล้วในระหว่างที่เป็นการ์ดอาสา
บางทีก็เก็บประทัดยักษ์หรือว่าเก็บอะไรบางอย่าง
อย่างเช่นเสื้อเกราะหรือมีวิทยุสื่อสาร
และก็จะถูกจับก่อนวันสลายฯ อันนี้จะคล้ายกัน เสร็จแล้วทีนี้พอถูกจับก่อนวันสลายฯ
แล้วก็อย่างของคุณพิทยานี่ไม่ได้รับการประกันตัว
ก็ 3 ปี
แล้วคุณทองสุขได้ประกันตัวไป
แล้วพอตัดสินอุทธรณ์ก็เข้าคุกใหม่
แต่ทั้งสองคนก็คือเข้าโปรแกรมของการพักโทษและการเลื่อนมาเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม อย่างพิทยานั้นได้เลื่อนเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม
แล้วก็เป็นนักโทษชั้นดี ทั้งสองท่าน
เพราะฉะนั้นก็เข้าโปรแกรมพักโทษ
ลดโทษ ก็คือถ้าติดมาแล้ว 1 ใน 3
นะคะ พิทยานี่พิพากษาครั้งแรก 7 ปีเลยนะ ถ้าติดมา 1 ใน 3 แล้ว และก็เป็นนักโทษชั้นดีก็จะได้รับการพักโทษ
ลดโทษนะคะ
เพราะฉะนั้นทั้งสองคนก็เข้าโปรแกรมปกติ
แต่ว่าคือเราก็เสียใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะความจริงแล้ว
พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่ถูกต้องที่มีประกาศ
แล้วคนก็ชุมนุมอยู่ก่อนแล้วมันไม่ใช่ว่าคุณประกาศ
พ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อนที่จะมีการชุมนุม
เขาชุมนุมอยู่แล้ว คุณมาประกาศ
พ.ร.ก.ฉุกเฉินทีหลังมันจะได้อย่างไร?
คุณจะให้คนชุมนุมเลิกหรือ ก็เขามาเรียกร้องคุณแค่ยุบสภา
ให้คืนอำนาจให้ประชาชนโดยมีการเลือกตั้งใหม่ แล้วคุณประกาศ
พ.ร.ก.ฉุกเฉินเช่นนี้
คนที่ชุมนุมมันก็ต้องผิดทั้งหมด
และนี่คือเป็นเหตุผลทั้งหมดที่เราโยงมาสู่ว่าเราถึงต้องขอนิรโทษกรรมให้กับประชาชน
เพราะคนเหล่านี้ไม่สมควรที่จะต้องมาติดคุกเลย ไม่ได้ทำอะไรผิด
มาร่วมชุมนุมและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญก็คือไม่ได้มีอาวุธอะไร
แต่ว่าคนเหล่านี้อย่างเช่นประทัดยักษ์เขาก็ไปถือเป็นความผิดเหมือนระเบิดแสวงเครื่องเลย ดูซิ
แล้วเขาเป็นการ์ดเขาก็ไปเก็บมา
คือถ้าใครมีเขาก็ไปเก็บมา
เพราะฉะนั้นด้านหนึ่งแสดงความยินดีที่พี่น้องได้ออกมา แต่ว่าด้านหนึ่งก็สลดใจ แล้วที่สลดใจมากก็คือเขามีลูกเล็กติดมา อาจารย์ก็ไปคุยกับลูกเขาบอกว่า
“ลูก...ลูกเห็นภาพคุณพ่อวันนี้ ถ้าจะมีเพื่อนมาล้อเลียน (เด็กเรื่องนี้สำคัญมาก)
ว่าพ่อเราเป็นคล้าย ๆ คนขี้คุกหรือนักโทษติดคุกเนี่ยลูกต้องโต้เขาไปนะ
ลูกเห็นภาพวันนี้ไหมว่ามีผู้สื่อข่าวมีคนมาเป็นจำนวนมาก บอกพ่อของเรานั้นไม่ใช่เป็นอาชญากร แต่ว่าเป็นวีรชนประชาธิปไตยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นออกมาผู้สื่อข่าวจึงมาสัมภาษณ์ จึงมาถ่าย (เพราะเราต้องแคร์ความรู้สึกของเด็ก
ๆ ลูก ๆ ด้วย) เพราะฉะนั้นลูกต้องพูดกับเขาอย่างภาคภูมิใจว่าพ่อเราไม่ใช่เป็นอาชญากร ไม่ใช่ติดคุกแบบนั้น”
แต่อันนี้เป็นคุกของคนที่มีความคิดต่างทางการเมืองแล้วเรายังเชื่อมั่น คุณพ่อเขาก็ยังใส่เสื้อแดงออกมา
ผู้สื่อข่าวก็ถามว่าออกไปเนี่ยคุณยังจะต่อสู้อะไรอีกไหม เขาบอก
ผมยิ่งกว่าเดิมอีก แข็งแกร่งกว่าเดิมอีกเพราะว่ามีเวลาได้ทบทวน นี่คือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจว่า การฆ่าคน
การจับคนขังคุก คิดว่ากลัวเหรอ ตรงข้าม
กลับสร้างคนใหม่ขึ้นมาอีกมากมาย
คนที่ติดคุกออกมาจากคุกเขาออกมาด้วยความแข็งแกร่ง เขาไม่ได้ออกมาแบบชาตินี้ผมไม่อีกแล้ว ไม่
ตรงข้ามเลย เพราะฉะนั้นก็ต้องขอคารวะพวกเราทุกคน แล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังเรื่องลูก
เรื่องเด็กที่ยังไม่เข้าใจ
ญาติหรือเราก็ต้องอธิบายทางการเมืองให้เข้าใจด้วย
เพราะฉะนั้นในช่วงนี้อาจารย์ก็จะออกไปรับตลอดเวลานะคะ ก็เหลืออยู่ที่เรือนจำหลักสี่ตอนนี้ก็จะเป็น 19
คน และในเรือนจำพิเศษอีกสัก 7-8 คน
แม้นว่าจะดูไม่มาก
แต่ว่านี่ก็คือกลุ่มคนที่ถูกกระทำ
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : วันก่อนได้พูดคุย แต่วันนี้อาจารย์ต้องไปต่อ แล้วส่วนหนึ่ง 4 คนที่อุบลราชธานีออกมาศาล เพราะฉะนั้นก็จะเหลือน้อยลง
แต่วันก่อนนั้นอาจารย์ได้มีโอกาสไปประชุมเพราะว่าท่านก็เป็นความเมตตาของทางราชทัณฑ์ที่ให้ได้มีโอกาสไปพูดคุย ก็ให้กำลังใจเขา ยังกำลังใจดีทุกคน
เราก็บอกเขาไปว่าเราจะพยายามตลอดและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนิรโทษกรรม
เหมือนกับที่บางครั้งอันนี้มันก็ดูเหมือนกับว่ามีแนวคิดที่ไม่ตรงกันบ้าง ยกตัวอย่างเช่นญาติวีรชน
ญาติวีรชนก็จะมีความคับแค้นว่าชีวิตที่เสียไปแล้วเรียกกลับไม่ได้ เพราะฉะนั้น
ถ้าพูดตรง ๆ คือเขาไม่ได้ต้องการนิรโทษกรรมเลย เขาต้องการที่จะให้เอาความจริงให้ปรากฏ เอาคนผิดมาลงโทษ
เพราะเขาก็เชื่อว่าฝั่งฝ่ายประชาธิปไตยและผู้ถูกกระทำนั้นไม่ผิด แต่ขณะเดียวกันผู้ถูกกระทำมันไม่ใช่มีแต่คนตาย ผู้ถูกกระทำก็อยู่ในคุก และผู้ถูกกระทำก็ยังถูกดำเนินคดี ที่ 30 ปี 20
กว่าปี
เพราะฉะนั้นผู้ถูกกระทำเหล่านี้กับผู้ถูกกระทำที่ถูกฆ่า ถูกทำให้บาดเจ็บ
มันก็จะมีลักษณะของความแตกต่างกัน
มันก็จะมีประหนึ่งมีความขัดแย้งเล็ก ๆ เช่น เมื่อเวลาญาติของวีรชนที่เสียชีวิตบอกว่าไม่เอานิรโทษกรรม ไม่เอาปรองดอง
คนที่อยู่เรือนจำส่วนหนึ่งก็ไม่พอใจ
นี่พูดถึงที่ผ่านมาเพราะเขามองไม่เห็นความยุติธรรมอยู่ตรงไหน
สิ่งที่เขาต้องการก็แน่นอนก็คือปลดตัวเองให้ได้รับอิสรภาพ
แล้วก็หลายอย่างดูว่ามันยากเพราะว่ามันผ่านการติดคุกมายาวนาน อีกส่วนหนึ่งก็คืออาจจะเป็นคดี 112 ซึ่งก็มองว่าการประกันตัวก็เป็นไปไม่ได้ อีกส่วนหนึ่งนั่นก็คือถูกตัดสิน แม้นว่าจะได้ประกันตัวไป แต่ว่าตัดสิน 20 ปี 30 ปี คนเหล่านี้ก็ต้องการการนิรโทษ
แต่ว่าพี่น้องคนตายนั้นไม่อยากให้มีการนิรโทษ เพราะฉะนั้น
เราจึงมีครอบครัวของแม่น้องเกด
ผู้ดำเนินรายการ : พอมาถึงตรงนี้ก็ขออนุญาตถามอาจารย์
เพราะว่าแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายก็อาจจะมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน แล้วก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป พอมาถึงตรงนี้อาจารย์อยากจะพูดหรือสื่ออะไรในฐานะที่เป็นประธานนปช.สำหรับทั้ง
พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ฉบับของ ร.ต.อ.เฉลิม
แล้วก็ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายวรชัย
เหมะ อย่างข่าวที่ออกมา แม่น้องเกด
ต้องขออนุญาตเอ่ยชื่อหรือว่านางพะเยาว์
อัคฮาด
ก็แสดงท่าทีอาจจะไม่เข้าใจสำหรับกลุ่มนปช.ที่อึกอักคัดค้านในการนิรโทษคนสั่งฆ่าด้วยครับ
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : ความจริงเราไม่มีการอึกอักเลยนะ เราพูดชัดเจนว่า นปช.นั้นนำเสนอพระราชกำหนด
ซึ่งพระราชกำหนดนิรโทษกรรมเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร
แต่ว่าคุณวรชัยใช้สิทธิ์ส.ส.เสนอเป็นพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แต่เนื้อหาใกล้เคียงกัน
นั่นก็คือว่าให้ประชาชนทุกสีเสื้อได้รับการนิรโทษ
แต่ว่าแกนนำและผู้สั่งปราบปรามให้ดำเนินการไปตามนี้ อันนี้ก็ถ้าพูดกันก็คือในมุมของนักต่อสู้หรือนักเลงก็เหมือนกัน ก็คือมองว่า ให้ประชาชน
พวกข้าพเจ้าไม่ขอใช้สิทธิอันนี้
ทำไม?
เพราะว่าถ้าแม้นว่าเป็นแบบของคุณเฉลิมมันก็จะเกิดแรงต่อต้านมาก
คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งก็ไม่พอใจ
ยกตัวอย่างเช่นครอบครัวผู้เสียชีวิตหรือว่าคนเสื้อแดงทั่วไป แม้ว่าเขาไม่ได้มีการเสียชีวิตบาดเจ็บ
เขาก็รับไม่ได้ที่ว่าผู้ที่จะต้องรับผิดชอบการฆ่าประชาชนนั้นไม่ได้ถูกดำเนินคดี แต่ในฝั่งเสื้อเหลืองก็อาจจะโกรธไม่ชอบใจแกนนำเสื้อแดง
และโดยเฉพาะกับคุณทักษิณ ชินวัตร ยิ่งไม่พอใจอย่างหนัก เพราะฉะนั้นเลยเรียกว่าฉบับเหมาเข่ง
ก็ไม่เอา เพราะฉะนั้น
นปช.ไม่ได้อึกอักนะคะ
นปช.พูดเต็มปากมาตั้งแต่โบนันซ่าแล้ว
และก่อนโบนันซ่าเราก็พูดอีกในทุกรายการ ในรายการชูธง ในรายการของเหลียวหลัง
และในการแถลงข่าวทุกครั้งว่าเรายืนยันว่าให้เป็นพระราชกำหนดแล้วไม่ต้องนิรโทษแกนนำ ในรัฐสภา ส.ส.
เขาก็พูดเช่นนี้ตลอดว่านี่เป็นความจริงใจ
เหตุผลเพราะว่าเราไม่ต้องการให้ประชาชนทุกข์ยากมาก และเหตุผลเพราะเราไม่ต้องการให้ทุกคนค้าน ถ้าจะทำให้ถูกใจมันเป็นไปไม่ได้ให้ถูกใจทุกคน
เพราะฉะนั้นเราก็คงจะต้องเลือกอะไรที่การต่อต้านน้อยที่สุด โดยที่ให้ประชาชนได้ประโยชน์ก่อน นั่นจึงออกมาในลักษณะนี้ แต่ถามว่ารายละเอียดบางคนอาจจะไม่พอใจ เช่น
ญาติวีรชนอาจจะรู้สึกว่าทำไมคุณเขียนเหมือนทหารไม่มีความผิด ซึ่งอันนี้ก็เป็นมุมมอง
แต่ดังที่บอกแล้วว่าคือเขาใช้เอกสิทธิ์ส.ส.เสนอก็เสนอได้ แล้วมันก็ต้องไปแปรญัตติ มีการเติมเต็ม
เพราะฉะนั้นญาติวีรชนจะเสนอก็เสนอได้ว่าอยากให้เป็นแบบนี้ แต่ร่างของ นปช.
นั้นเราละเว้นสำหรับแกนนำทุกสีเสื้อ
แต่ให้ประชาชนทุกสีเสื้อในคดีอาญาอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง
ทีนี้คำถามว่าคดีอาญาถ้ามันไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองก็อีกเรื่องหนึ่ง ตีความได้อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นลึก ๆ ไปดู แต่ว่าไม่มีใครอึกอัก เราพูดเต็มปากเต็มคำ แต่ว่าพวกเราทั้งหมดเป็นหมู่มิตรกัน
ดังที่เราจะได้คุยต่อไปหรือได้คุยมาแล้วว่า ในฝั่งเขา
เขาวางแผนกันเป็นระบบแล้วประสานกันอย่างเป็นเอกภาพ แต่ฝั่งเราก็จะเป็นประชาธิปไตยมาก พ.ร.บ.ปรองดองนะมีฉบับคุณสนธิ บุญรัตกลิน, ฉบับณัฐวุฒิ
แล้วฉบับส.ส.อะไรอีกคนหนึ่ง
แล้วก็มาปรองดองของคุณเฉลิม
แล้วก็มานิรโทษกรรมวรชัย เหมะ
เห็นไหมมันก็มี 5-6 ฉบับ
แต่ว่ามีความคิดแตกต่างกัน
แต่ของคุณณัฐวุฒินั้นก็แบบเดียวกันกับวรชัย เพราะถ้อยคำอะไรต่าง ๆ
นั้นมันก็ไปคุยกันได้
เพราะฉะนั้นในฝั่งเรานั้นก็คือ OK
เราใช้สิทธิเสรีภาพ
แต่ว่าในหมู่มิตรด้วยกันนั้นเราก็ต้องมีปฏิบัติการที่ไม่ทำให้มิตรเป็นศัตรูหรือว่าเราก็ต้องรักษา
อย่างยกตัวอย่างเช่นทางนปช.เสนออย่างนี้แต่พรรคอาจจะคิดอีกอย่างหนึ่ง แต่เราก็ต้องบอกว่าเราคิดอย่างไร? และเราเสนออย่างไร?
ที่แล้วมาร่างรัฐธรรมนูญของเราก็ไม่ตรงกับพรรค ยังแขวนอยู่นะ
พรรคเขาก็ไม่เอา
แต่พรรคก็ไปไม่รอดไปหยุดอยู่วาระ 2 เราก็บอกถ้าเป็นของเราอาจจะดีกว่า
แต่ความหมายก็คือว่าเราต้องอดทนในความแตกต่าง เพราะความแตกต่างในฝั่งประชาธิปไตยนั้นมันเป็นความแตกต่างในเชิงปลีกย่อย ในเชิงจังหวะก้าว มันไม่ใช่ความแตกต่างในลักษณะมิตร-ศัตรู มันไม่ใช่ความแตกต่างที่เป็นปฏิปักษ์
เป็นความแตกต่างที่เราต้องใช้หลักการและเหตุผลมาอธิบายได้ อันนี้ก็แจ้งในประเด็นนี้ เพราะฉะนั้นถ้าถามก็คือคุณจะให้ นปช.
ไปโจมตีคุณเฉลิมทำไม? ไม่มีเหตุผล
คุณเฉลิมก็มีสิทธิที่จะเสนอเพราะเขาก็คิด
ทำไมเขาจะต้องคิดเหมือนนปช.ล่ะ
นี่นะ!
ในคนเสื้อแดงมีจำนวนมากที่ใช้วิธีว่าจะบังคับให้กลุ่มอื่นคิดเหมือนตัวเอง
ตอนนิรโทษกรรม 29
มกราเขาก็เสนออย่างหนึ่ง นปช.ก็เสนออย่างหนึ่ง กลุ่มอื่นก็เสนอ
คุณวรชัยก็เสนออีกอย่างหนึ่ง
สุดท้ายความเป็นจริงมันจะบอกว่าอะไรมันจะเป็นไปได้
ถามว่าตอนนั้นทำไมเราจะต้องบังคับว่าคิดเหมือนกัน คิดเหมือนกันมันก็เหลืออย่างเดียว มันไม่มีอะไรให้มีการเลือกสรร เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปบังคับหรือโจมตีว่าต้องคิดเหมือน เราต้องอนุญาตให้มีความแตกต่างกันได้
แต่นี่ก็คือความแตกต่างและความขัดแย้งที่ไม่ใช่ปฏิปักษ์
มันต้องพูดกันด้วยหลักการและเหตุผล
กับฝั่งศัตรูเราจะพูดกับประชาชนยังต้องใช้หลักการและเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์
และเราไม่ต้องบังคับว่าทำไมจะต้องคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน พูดเหมือนกัน
มันเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นตรงก็นี้ให้ชัดเจนว่า
ไม่มีความจำเป็นที่นปช.จะต้องมาโจมตีว่าคุณเฉลิม
เพราะคุณเฉลิมก็มีสิทธิที่จะเสนอแล้วก็ต้องไปวัดกันว่า ส.ส.
ส่วนใหญ่เห็นด้วยหรือเปล่า นปช.ก็เสนอ เราก็เสนอแล้วคุณวรชัยก็ใช้สิทธิในฐานะส.ส.เป็น
พ.ร.บ. ไม่เป็น พ.ร.ก. ก็มีคำถามเหมือนกันว่าทำไม
ส.ส.เสื้อแดงจำนวนหนึ่งไม่ไปเซ็นให้คุณวรชัย
ก็คุณวรชัยหาคนเซ็นได้แล้ว
อีกอย่างหนึ่ง ส.ส.เสื้อแดงส่วนหนึ่งเขาถือว่าเขาต้องสนับสนุนพระราชกำหนด เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีปัญหาอะไร พอมาถึงตอนนี้เราก็บอกว่าอะไรก็ได้ให้มันเร็ว ๆ
เถิด
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : พระราชกำหนดใช้อำนาจโดยรัฐบาลนั่นคือฝ่ายบริหาร
ครม. เสนอ ทันทีเลย
ผู้ดำเนินรายการ : ทันทีเลยก็จะเร็วกว่าใช่ไหมครับ
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : แน่นอนค่ะ คือถ้า ครม. เสนอก็ทันที แต่คนด้วยความกลัวว่า
ฝั่งประชาธิปัตย์จะมาฟ้องว่าอันนี้มันไม่มีเหตุฉุกเฉินที่จะต้องทำ
อาจจะผิดรัฐธรรมนูญ
แล้วมันก็อยู่ที่ตีความใครว่าไม่ฉุกเฉินก็เราตีความว่าฉุกเฉินนะ แล้วคำถามว่าประชาธิปัตย์ฟ้อง ทำอะไรมันก็ฟ้องหมดทุกอย่างนั่นแหละ
คัดค้านหมดทุกอย่าง
แต่เราก็ไม่ได้บังคับว่า OK
ถ้าคุณจะทำ พ.ร.บ.
พ.ร.บ. คืออะไร ก็คือพระราชบัญญัติ
ต้องผ่านรัฐสภา แต่พระราชกำหนดพอ ครม. ทำไปแล้วก็ต้องไปเข้าสภาอีกทีแล้วจึงออกเป็นพระราชบัญญัติ
แต่ถ้าถามว่าเข้าสภาแล้วไม่ผ่านแล้วใช้ได้ไหม? ยังใช้ได้ ยกตัวอย่าง หลังปี 2535 นั้น สุจินดา คราประยูร ตอนนั้นเขาเป็นนายกฯ
ชั่วคราวแล้วถูกคนมาประท้วง เขาก็ออก พ.ร.ก. พอออกปั๊บแล้วเขาก็ออกไป แต่ว่าพอมาเข้าสภา ไม่ผ่าน! แต่มันก็มีผลแล้ว ในประเทศไทยนั้นมีพระราชกำหนดเยอะ และการนิรโทษกรรมบางอย่าง 66/23
เป็นแค่คำสั่ง
ไม่ได้เป็นอะไรเลยแต่ก็มีผลทำให้ยุติการฆ่าฟันกัน
เพราะฉะนั้นพระราชบัญญัติก็คือต้องผ่านสภาแล้วมันต้องมีเป็นวาระอีกเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นท่านก็คอยดูแล้วกันว่าขึ้นมาเป็นลำดับหนึ่ง แล้วกว่าจะผ่านวาระที่หนึ่งคุณต้องปะทะกันกับประชาธิปัตย์เป็นแบบไหน
รวมทั้งยังมีพวกวุฒิสมาชิกแต่งตั้งอีก แล้วผ่านวาระสอง วาระสาม โอ้ยดูไม่จืดหรอก
ไม่รู้ว่าไปนานเท่าไหร่อาจารย์ก็ไม่แน่ใจ
แต่ก็อยากจะฝากว่าถ้ามันไปไหนไม่ทันก็สุดท้ายไปเอาพ.ร.ก.เราก็ยินดี แต่ว่าเราก็จะพร้อมเป็นกองเชียร์ แต่นี่คือมิตรด้วยกันทั้งหมด
ต้องว่ากันด้วยหลักการและเหตุผลไม่มีความจำเป็นต้องมาโจมตีด้วยกัน เพราะว่าทุกคนมีสิทธิที่จะคิดแตกต่างกันได้ แต่ว่าต้องใช้ท่าทีท่วงทำนองที่ถูกต้อง
แล้วก็ให้เข้าใจว่าเป้าหมายมันอาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง วิธีคิดของญาติวีรชนที่เสียชีวิตกับวิธีคิดของญาติวีรชนผู้ที่ต้องติดคุก
(เราเรียกวีรชนก็ได้) ก็จะคิดไม่เหมือนกัน
ญาติวีรชนผู้เสียชีวิตต้องการเอาคนสั่งฆ่าหรือคนฆ่า กระทั่งทหารเขาก็ต้องการมาลงโทษ
แต่ญาติผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังต้องการให้หลุดออกมา ยกตัวอย่างเป็นต้น
เพราะฉะนั้นเวลามองเราจะมองเฉพาะเราด้านเดียวไม่ได้มันต้องมองภาพรวม
เสื้อแดงก็เหมือนกันเวลาคิดก็ต้องคิดภาพรวม เพราะมีประชาชนจำนวนหนึ่งเขาไม่แดงเขาไม่เหลือง เราต้องทำอย่างไรให้เขาเข้าใจมากที่สุด ทำให้คนเขารับได้มากที่สุด แต่ถ้าต่างคนต่างคิดแต่มุมมองเขาตัวเองแล้วเอาตัวเองเป็นหลักมันก็ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้
ซึ่งเดี๋ยวเราจะพูดอีกทีว่าเข้มข้นมากระหว่างฝั่งเขากับฝั่งเรา ตอนนี้หน้ากากขาวมา ฝั่งเขาเป็นเอกภาพ จะพูดอะไร
จะทำอะไรมันเป็นระบบหมดเลย
ฝั่งเราเหรอ ใครนึกจะทำอะไรก็ทำ
ใครนึกจะทำอะไรก็ทำ
ไม่พอใจเหรอก็มาโจมตีกันเอง
เพราะฉะนั้นก็ต้อง
ไม่ใช่ว่าจะคิดแตกต่างกันไม่ได้
แต่เพียงแต่ว่า
บอกให้รู้ว่าถ้าเราจะสู้รบ
ขณะนี้เขาเปิดสงครามสู้รบทุกแนวรบรวมทั้งในโลกไซเบอร์ที่เราจะพูด แต่เราพร้อมแล้วหรือยัง?